การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตอน วิธีวัดเอสซีอาร์ SCR ด้วย มัลติมิเตอร์ดิจิตอล และ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม วัด SCR ด้วยการทริกขาเกต

การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   วัดเอสซีอาร์  SCR   мультиметр   मल्टीमीटर   đồng hồ vạn năng


ก่อนวัด SCR  มารู้จักชื่อขาและสัญลักษณ์ของเอสซีอาร์    SCR มี 3 ขาคือขาแอโอด ( Anode ) ใช้สัญลักษณ์ A   ,  ขาแคโทด  ( Kathode)ใช้สัญลักษณ์ K  ขาเกต ( Gate ) ใช้สัญลักษณ์ G  SCR มีหลายเบอร์มากและมีผู้ผลิตหลายแหล่งแต่ละเบอร์อาจมีการเรียงตำเหน่งขาไม่เหมือนกัน เบอร์ที่ใช้วัดสาธิตใช้เบอร์ C106MG  มีการเรียงขา  K  A   G  ตามรูปด้านล่าง

ขา   SCR
                                     ขา   SCR  เบอร์  C106MG    ขา  1 =   K  , 2 =   A   , 3 =    G 




                                                   สัญลักษณ์  เอสซีอาร์  ใช้ประกอบการวัด


วัด   SCR ด้วย มัลติมิเตอร์ดิจิตอล 

ใช้ย่านวัดโอห์มในการวัด SCR ที่ดีจะวัดขึ้นค่าความต้านทาน 1 ครั้งคือครั้งที่วัดขา G และ K     SCR เสียถ้าขาดจะวัดค่าความต้านทานไม่ขึ้นเลยสักครั้ง  ถ้าเสียซ๊อตจะขึ้นค่าความต้านทาน 0 Ohm หรือขึ้นความต้านทานต่ำมากๆ

1)  วัดขา G กับ  K  ตามรูป SCR ดีจะขึ้นค่าความต้านทาน 1 ครั้ง จากนั้นสลับสายวัดจะขึ้น OL  1 ครั้ง

การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  วัดเอสซีอาร์  SCR   ການວັດ   SCR
                                    วัดขา G และ K     SCR ที่ดีจะวัดขึ้นค่าความต้านทาน 1 ครั้ง 

วัด  SCR    test
                                      สลับสายวัดขา G  และ  K     SCR ที่ดีจะขึ้น  OL  1  ครั้ง 


2.  วัดขา A   กับ  K  และสลับสายวัดอีกครั้ง  SCR ที่ดีจะแสดง OL ทั้ง 2  ครั้ง  ถ้าเสียซ๊อตจะขึ้นค่าความต้านทาน 0 Ohm หรือขึ้นความต้านทานต่ำมาก

SCR test

                                         วัดขา A   กับ  K    SCR ที่ดีจะแสดง  OL ทั้ง 2  ครั้ง 


SCR  Test
                                    สลับสายวัด วัดขา A   กับ  K   SCR ที่ดีจะแสดง  OL 



ขั้นตอนวัด SCR ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม
หลักการทำงานเบื้องต้นของ SCR คือเมื่อขา A ได้รับไฟ + และขา K ได้รับไฟ -   เมื่อขาเกตได้รับกระแสทริกบวก  SCR จะนำกระแสจากแอโนดไปแคโทด  ในการวัดใช้ย่านวัด Rx 1

1. วัดขา G กับ K  SCR ที่ดีเข็มจะขึ้นมาก  1 ครั้งและเข็มไม่ขึ้น 1 ครั้ง  กรณีเสียซ๊อตเข็มจะขึ้นมากสุดสเกลทั้ง 2 ครั้ง กรณีเสียขาดจะวัดไม่ขึ้นเลย

การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  SCR Test   мультиметр   मल्टीमीटर   đồng hồ vạn năng
                                             รูปแสดง   วัดขา G กับ K  SCR ที่ดีเข็มจะขึ้นมาก  1 ครั้ง

                               รูปแสดง  สลับสายวัด วัดขา G กับ K  SCR ที่ดีเข็มจะไม่ขึ้น   1 ครั้ง


2. วัดขา A กับขา K  จากนั้นสลับสายวัด วัดอีกครั้ง  SCR ที่ดีเข็มไม่ขึ้นเลยทั้ง 2 ครั้ง  กรณีเสียซ๊อตเข็มจะขึ้นมากสุดสเกลทั้ง 2 ครั้ง

                                        รูปแสดง   วัดขา A  กับขา K    SCR ที่ดีเข็มไม่ขึ้นเลยทั้ง 2 ครั้ง

การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  SCR  test
                        รูปแสดง   สลับสายวัด วัดขา A  กับขา K    SCR ที่ดีเข็มไม่ขึ้นเลยทั้ง 2 ครั้ง



วัด SCR ด้วยการทริกขาเกต
ที่ย่านวัด R x 1  จะมีไฟ 3VDC  150mA จ่ายออกจากสายวัด จากหลักการทำงานเบื้องต้นของ SCR คือเมือขา A ได้รับไฟ + และขา K ได้รับไฟ -   เมื่อขาเกตได้รับกระแสทริกบวก  SCR จะนำกระแสจากแอโนดไปแคโทด จะใช้หลักการนี้นำไปทริกขา G เพื่อทดสอบการนำกระแสของ SCR ว่าสามารถนำกระแสได้ตามปกติหรือไม่  ?   ถ้าสามารถนำกระแสได้ตามปกติคือ SCR ยังดีนั่นคือ สามารถนำกระแสและหยุดนำกระแสได้  ดูรูปตามลำดับต่อไปนี้


วัดเอสซีอาร์  SCR
   ต่อสายวัดตามรูป ขา K กับสายวัดสีแดง ( สายสีแดงจ่ายไฟ  - )
   ขา  A ต่อสายวัดสีดำ ( สายสีดำจ่ายไฟ  + )



วัดเอสซีอาร์  SCR
                                        ทริกขา G ด้วยไฟ +   จากขา A   ( สายวัดสีดำ )



мультиметр   मल्टीमीटर   đồng hồ vạn năng
               เมื่อเอาไฟ + ที่ทริกขา G ออก  SCR ยังคงสามารถนำกระแสค้างได้ คือ SCR ดี



SCR  Test  วัดเอสซีอาร์  SCR
                                        ให้ SCR หยุดนำกระแส โดยแตะขา A และ K เข้าด้วยกัน



วัดเอสซีอาร์  SCR
            ให้ SCR หยุดนำกระแส โดยแตะขา A และ K เข้าด้วยกัน รูปแสดง SCR หยุดนำกระแส



30   เรื่อง    การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   ( เป็น ภาษาอังกฤษ)   > อ่านที่เว็บนี้


เลือกหัวข้อ     เพื่อ    อ่านต่อในเว็บนี้    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี   17  ตอน

การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตอน วิธีวัดทรานซิสเตอร์ ดีเสีย หาขา หาชนิด NPN PNP ด้วยมิเตอร์เข็ม ( การวัด Transistor )

 ประเด็นการวัดทรานซิสเตอร์พื้นฐานคือวัดดีเสีย  วัดหาขา B-C-E  และ วัดหาชนิด NPN / PNP ก่อนวัดต้องเข้าใจว่าขั้วไฟจากสายวัดของมัลติเตอร์แบบเข็มนั้นจะแตกต่างจากขั้วไฟสายวัดของมัลติเตอร์แบบดิจิตอล ถ้าไม่เข้าใจประเด็นนี้ทำให้งงและจำวิธีวัดไม่ได้  ถ้าเข้าใจจะวัดเป็นและจำได้ตลอดกาล   ให้จำไว้ว่าสายวัดสีแดงของมัลติมิเตอร์แบบเข็มมีไฟขั้ว - จ่ายออกมา และสายวัดสีดำมีไฟขั้ว + จ่ายออกมาที่เป็นแบบนี้เพราะเนื่องจากวงจรข้างในของมัลติมิเตอร์แบบเข็มสายวัดจะต่ออยู่กับแบตเตอรี่ข้างในเมื่อใช้ย่านวัดตัวต้านทานจะมีไฟจ่ายออกมา    ปกติแล้วการวัดทรานซิสเตอร์จะให้ย่านวัด Rx10 มีไฟจ่ายออกมา 3VDC 15mA  , Rx1K  มีไฟจ่ายออกมา 3VDC 15uA และ  Rx10K มีไฟจ่ายออกมา 9VDC  ไฟที่จ่ายออกมาและขั้วไฟจากสายวัดใช้ไบอัสทรานซิสเตอร์และใช้อธิบายว่าทำไมเข็มของมัลติมิเตอร์จึงขึ้นหรือเข็มไม่ขึ้น ( กระแสไหลและกระแสไม่ไหลนั่นเอง )

ขั้นตอนต่อไปนี้จำเป็นสำหรับมือใหม่ต้องวัดเป็นและวัดแบบเข้าใจก่อน  สำหรับคนที่วัดชำนาญแล้วจะวัดแบบสุ่มไปเลย   ทรานซิสเตอร์ที่เสียส่วนใหญ่คือขาดและซ๊อต ถ้าขาดวัดสลับสายสลับขาอย่างไรก็ตามเข็มจะไม่ขึ้นเลย ถ้าซ๊อตวัดสลับสายสลับขาอย่างไรก็ตามเข็มจะขึ้นสุดสเกลได้ค่าความต้านต่ำมาก นี้คือการวัดแบบสุ่มโดยมุ่งไปที่การเสียแบบขาดกับเสียแบบซ๊อต


ການວັດ  Transistor
                                           สายวัดสีแดงจ่ายไฟ -  และสายวัดสีดำจ่ายไฟ  +


มองทรานซิสเตอร์เป็นไดโอด 2 

เพื่อให้เข้าใจการวัดทรานซิสเตอร์ง่ายๆให้มองทรานซิสเตอร์เป็นไดโอด  2 ตัวต่อกัน โดยทรานซิสเตอร์ชนิด NPN = ไดโอด 2 ตัวต่อคอมมอนแอโนด และ  ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP  = ไดโอด 2 ตัวต่อคอมมอนแคโทด  จะใช้โมเดลไดโอด 2 ตัวนี้วัดทรานซิสเตอร์จริงในขั้นตอนต่อไป




                        ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN = ไดโอด 2 ตัวต่อคอมมอนแอโนด


                          ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP  = ไดโอด 2 ตัวต่อคอมมอนแคโทด

Transistor test
                              ใช้ทรานซิสเตอร์เบอร์    2N3904   ในการวัดสาธิต


ขั้นตอนวัดวัดทรานซิสเตอร์

ใช้ทรานซิสเตอร์เบอร์    2N3904   ในการวัดสาธิตเบอร์นี้มีตำเหน่งขาเรียงตามรูปด้านบนกรณีเป็นทรานซิสเตอร์เบอร์อื่นๆก็ให้ค้นหาตำเหน่งขาจาก Datasheet 

1. วัดขา B กับขา E และวัดขา B กับขา C  

ใช้มิเตอร์ย่านวัด Rx10 และปรับซีโรโอห์มก่อนวัดเพื่อให้ผลการวัดถูกต้อง

2. ให้วัดและสลับสายวัด พิจารณาผลดังนี้ถ้าทรานซิสเตอร์ดีเข็มจะขึ้นมาก 1 ครั้งและเข็มไม่ขึ้น 1 ครั้ง

เสียลักษณะขาดวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นเลย เสียลักษณะช๊อตวัดแล้วเข็มขึ้นสุดสเกล


ການວັດ  Transistor  test
                        วัดขา B กับขา E ขา B อยู่ตรงกลาง   สายวัดสีดำจ่ายไฟ +  ( ชนิด NPN)
จากโมเดลไดโอด 2 ตัวด้านบนเข็มขึ้นเพราะไดโอดได้รับไบอัสตรง


Transistor test
                       วัดขา B กับขา C  ขา B อยู่ตรงกลาง   สายวัดสีดำจ่ายไฟ +  ( ชนิด NPN)
จากโมเดลไดโอด 2 ตัวด้านบนเข็มขึ้นเพราะไดโอดได้รับไบอัสตรง


Transistor test

 สลับสายวัด   วัดขา B กับขา E ขา B อยู่ตรงกลาง   สายวัดสีดำจ่ายไฟ +  ( ชนิด NPN)
จากโมเดลไดโอด 2 ตัวด้านบนเข็มไม่ขึ้นเพราะไดโอดได้รับไบอัสกลับ



Transistor test

 สลับสายวัด   วัดขา B กับขา C  ขา B อยู่ตรงกลาง   สายวัดสีดำจ่ายไฟ +  ( ชนิด NPN)
จากโมเดลไดโอด 2 ตัวด้านบนเข็มไม่ขึ้นเพราะไดโอดได้รับไบอัสกลับ


3. วัดขา C กับขา E  ให้วัดและสลับสายวัด
ใช้ Rx10K สำหรับทรานซิสเตอร์ชนิดซิลิกอน  และ Rx1K  สำหรับเจอร์เมเนียม
ถ้าทรานซิสเตอร์ดีเข็มขึ้นมาก 1 ครั้ง และเข็มไม่ขึ้น 1 ครั้ง ( หรือขึ้นน้อยก็ได้)
เสียลักษณะขาดวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยสักครั้ง  เสียลักษณะช๊อตวัดแล้วเข็มขึ้นสุดสเกลทั้ง 2 ครั้ง


ການວັດ  Transistor  test
                                                        วัดขา C กับขา E เข็มขึ้นมาก 1 ครั้ง  


Transistor test
               สลับสายวัด   วัดขา C กับขา E เข็มไม่ขึ้น 1 ครั้ง  ( อาจขึ้นน้อยชี้ใกล้แถว ∞ )




การวัดหาขา  B-C-E   ของทรานซิสเตอร์
1. การวัดหาขา B    ให้ใช้  R x 10 สุ่มวัดจะเจอครั้งที่เข็มขึ้นมาก 2 ครั้ง  ตรงจุดนี้คือคอมมอนของไดโอด
พิจารณารูปด้านล่างจะทราบทั้งชนิดของทรานซิสเตอร์และตำเหน่งของขา  B




สายวัดสีดำมีขั้วไฟ + ดังนั้นเป็นทรานซิสเตอร์ชนิด NPN  สายสีดำคือขา B 
วัดแล้วเข็มขึ้นเพราะไดโอดได้รับไออัสตรง



สายวัดสีแดงมีขั้วไฟ - ดังนั้นเป็นทรานซิสเตอร์ชนิด PNP สายสีแดงคือขา B  
วัดแล้วเข็มขึ้นเพราะไดโอดได้รับไออัสตรง

2. วัดหาขา C และขา  E
หลังจากได้ขา B เรียบร้อยแล้ว 2 ขาที่เหลือคือขา C และขา E นอกจากทราบขา B แล้วยังทราบชนิดของทรานซิสเตอร์ด้วย
ใช้ย่านวัด  Rx10K วัด หาขา C และขา   E
วัดและสลับสายวัด ให้พิจารณาครั้งที่เข็มมิเตอร์ขึ้นมาก
ถ้าเป็นทรานซิสเตอร์ชนิด NPN  สายวัดสีแดง ( ขั้วไฟ -)  คือขา C  (ข้อสังเกตุให้จำตรง NNคือขา C)
ถ้าเป็นทรานซิสเตอร์ชนิด PNP  สายวัดสีดำ  ( ขั้วไฟ +)  คือขา C (ข้อสังเกตุให้จำตรง PP คือขา C )



ให้สังเกตทรานซิสเตอร์ชนิด NPN  สายวัดสีแดง ( ขั้วไฟ -)  คือขา C  (ข้อสังเกตุให้จำตรง NNคือขา C)

                                                          วัดขา C และ E ครั้งที่เข็มไม่ขึ้น


                                    ทรานซิสเตอร์ชนิด  NPN  ให้สังเกต NN  คือ  - 
                                    ขั้วไฟลบคือสายสีแดง  ดั้งนั้นสายสีแดงเป็นขา C


                                           ทรานซิสเตอร์ชนิด  NPN เบอร์    2N3904





ให้สังเกตทรานซิสเตอร์ชนิด PNP  สายวัดสีดำ  ( ขั้วไฟ +)  คือขา C (ข้อสังเกตุให้จำตรง PP คือขา C )
ดูครั้งที่เข็มขึ้นมาก  พิจารณา  3 รูปด้านล่างนี้

                                                        วัดขา C และ E ครั้งที่เข็มไม่ขึ้น


                                     ทรานซิสเตอร์ชนิด  PNP  ให้สังเกต PP  คือ  + 
                                    ขั้วไฟบวกคือสายสีดำ  ดั้งนั้นสายสีดำเป็นขา C




                                           ทรานซิสเตอร์ชนิด  PNP   เบอร์    2N3906



30   เรื่อง    การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   ( เป็น ภาษาอังกฤษ)   >  อ่านที่เว็บนี้


เลือกหัวข้อ     เพื่อ   อ่านต่อในเว็บนี้    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี  17 ตอน

แนวทางทั่วไป ซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์    พื้นฐานการซ่อมบอร์ด

การซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อยที่สุดต้องมี   5  ข้อต่อไปนี้  ลองเช็คว่ายังขาดส่วนไหนเช่นยังวัดอุปกรณ์ดีเสียไม่เป็น.....ก็สามารถเรียนรู้เพิ่มได้ตลอดเวลาเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดอยู่      

 1)  พื้นฐานการใช้งานมัลติมิเตอร์เพื่อวัดไฟตามจุดต่างๆ และใช้วัดสภาพอุปกรณ์ว่าดีหรือเสีย                   2) ต้องรู้วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น  วงจรอนุกรม  วงจรขนาน ไฟ AC  ไฟ  DC  ความหมายของคำว่า ไฟฟ้าลัดวงจร ไฟฟ้าช๊อตและการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า  เป็นต้น  เพื่อให้ปฏิบัติงานซ่อมได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งงานที่ซ่อมเสร็จนอกจากวงจรจะต้องทำงานได้ปกติแล้วยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของวงจรด้วย เช่น สายไฟหลุดแล้วต้องไม่ซ๊อตกัน  กรณีวงจรทำงานผิดปกติมีกระแสเกินแล้ววงจรต้องตัดการทำงานด้วยอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน   เป็นต้น                                                                                                     3)  รู้จักอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นและหลักการทำงานของมัน  เช่น  ฟิวส์   รีเลย์  ตัวต้านทาน  ตัวเก็บประจุ  หม้อแปลงไฟฟ้า  ลำโพง  ไดโอด   ทรานซิสเตอร์   เป็นต้น  การรู้หลักการทำงานของมันทำให้สามารถไล่วงจรอิเล็กทรอนิกส์และหาอะไหล่แทนได้                                                                       4)  รู้จักวงจรพื้นฐานต่างๆ เริ่มจากหัดไล่วงจรง่ายๆก่อน หนังสือจำพวกโครงงานต่างๆจะแนะนำให้หัดไล่วงจรและการทำงานของวงจรพื้นฐานได้เป็นอย่างดี                                                                                     5)  ทักษะพื้นฐาน เช่น การใช้หัวแร้งบัดกรี  การอ่านค่าอุปกรณ์เป็น  เป็นต้น


ซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์     พื้นฐานการซ่อมบอร์ด


การซ่อมให้เริ่มดูจากอาการเสียก่อนและไล่เช็คแผงวงจรไปที่ละจุดแบบ  1-2-3-4  มีแนวทางทั่วไปสำหรับซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นข้อๆต่อไปนี้    เพื่อประหยัดเวลาซ่อมและงานซ่อมออกเยอะๆให้มุ่งไปที่อุปกรณ์ที่มีโอกาสเสียง่ายก่อน  ให้เช็คจุดต่างๆดังนี้ 

1.  จุดเชื่อมต่อและเส้นทางไหลของกระแสไฟฟ้า  เช่น สายไฟ  คอนเนกเตอร์  ขั้วต่อ ลายวงจรขาด ทั้งในส่วนของพาวเวอร์ และ   ส่วนเส้นทางของสัญญาณ

2. อุปกรณ์ที่มีกลไกการเคลื่อนที่  เช่น  รีเลย์  สวิตช์ชนิดต่างๆ  สวิตช์ทุกชนิดมีอายุการใช้งาน  ลองเช็คดูว่ามันเสียไหมหรือปกติดี  ?  ลองกดเปิดปิดแล้วเช็คสถานะของคอนแทคมันเปลี่ยนตามการกดหรือไม่  ?

3. อุปกรณ์พาวเวอร์มีโอกาสเสียสูง  สังเกตง่ายๆมันเป็นอุปกรณ์ตัวใหญ่มีกระแสไหลผ่านสูง เช่น ทรานซิสเตอร์  มอสเฟต  SCR  ไดโอด  เป็นต้น อีกทั้ง IC ก็มีโอกาสเสียรองลงมา  อุปกรณ์พาวเวอร์ชอบเสียในลักษณะช๊อตหรือขาด การวัดดีเสียแบบไร้กระบวนท่าคือวัดแล้วขึ้นสุดสเกลทั้ง 2 ครั้งหรือได้ 0 โอห์มตลอดคือซ๊อตแล้ว การวัดทรานซิสเตอร์ใช้ Rx1K สุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยสักครั้งคือมันขาดแล้ว ( ปกติการวัดทรานซิสเตอร์ถ้ามันดีตรงขา B-E กับขา  B-C จะวัดขึ้น 1 ครั้งและวัดไม่ขึ้น 1 ครั้ง ) ที่ท้ายบทความจะอธิบายการวัดทรานซิสเตอร์แบบสุ่มอีกรอบ

4. อุปกรณ์ป้องกันก็มีโอกาสเสียสูง   เมื่อวงจรทำงานผิดปกติเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น มีกระแสเกิน แรงดันเกิน  อุปกรณ์ป้องกันมีหน้าที่เป็นด่านแรกที่จะป้องกันและเสียลละตัวเอง ตัดวงจรออกก่อนที่ส่วนอื่นๆจะเสียหาย  กลุ่มอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้องกัน เช่น   ฟิวส์    ซีเนอร์ไดโอด   วาริสเตอร์ ( MOV ) เป็นต้น

5. ใช้วงจร ( Manual) และคู่มือซ่อมให้เป็นประโยชน์  ถึงแม้วงจรพื้นฐานประเภทเดียวกันจะมีหลักการทำงานกว้างๆเหมือนกัน แต่ผู้ผลิตวงจรแต่ละรายมีเทคนิคและคิดค้นพัฒนาวงจรมาไม่เหมือนกันทีเดียว มีรายละเอียดปลีกย่อยและ วงจรที่ซับซ้อนต้องใช้วงจรประกอบการซ่อมและไล่เป็นบล๊อคไดอะแกรมไป หลายครั้งพบว่าผู้ผลิตอุปกรณ์มีคู่มืออุปกรณ์ให้พร้อมกับแนะนำวิธีแก้ปัญหาเมื่อวงจรเสียแบบต่างๆ   สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์สูงผ่านการซ่อมมาเยอะก็สามารถจำวงจรหลักและอาการเสียของยี่ห้อต่างๆได้เลยทีเดียว เราก็สามารถเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์สูงได้  ส่วนตัวเราเองจะมีประสบการณ์ได้ต้องซ่อมเยอะๆเพื่อให้เจอเคสต่างๆเยอะๆเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งเราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงได้เช่นกัน   " ก่อนซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ต้องรู้จักหลักการทำงานและวงจรเบื้องต้นของมันก่อน " 



หนังสือ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า
                                          หนังสือ  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยตัวเอง

ช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ไม่ยากเพราะช่างอิเล็กทรอนิกส์มีพื้นฐานการใช้มัลติมิเตอร์ที่ดีมาก  เข้าใจวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น และ รู้จักอุปกรณ์และวัดอุปกรณ์ดีเสียเป็น เรียนรู้หลักการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มอีกนิดก็จะซ่อมได้   หนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อหนังสือค้นใน Google  " ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยตัวเอง "  ก็จะเจอในร้านออนไลน์และร้านหนังสือใหญ่ๆ และห้องสมุดบางแห่งอาจจะมี


การวัดอุปกรณ์ในบอร์ด

การวัดอุปกรณ์มีทั้งตัวที่สามารถวัดในวงจรเพื่อเช็คดีเสียเบื้องต้นได้ และ บางตัวต้องถอดออกมาวัดนอกวงจรหรือต้องลอยขาอุปกรณ์หนึ่งข้างก่อนจึงจะวัดได้  อีกหนึ่งวิธีที่นิยมทำกันก็คือวัดเปรียบเทียบกันสมมุติว่าในบอร์ดมีทรานซิสเตอร์เบอร์เดียวกันหลายตัวก็ให้วัดเทียบค่าความต้านทาน

1. อุปกรณ์ที่สามารถวัดในวงจรคร่าวๆเพื่อเช็คว่าดีหรือเสีย โดยไม่ต้องถอดออกจากวงจร ( แต่ต้องถอดปลั๊กก่อนวัดทุกครั้งหรือวัดในขณะที่ไม่มีไฟ )    มีตัวต้านทาน   LED   ไดโอด  ลำโพง  บัซเซอร์  เป็นต้น

2. อาการเสียของตัวต้านทาน  ตัวต้านทานปรับค่าได้หรือวอลุ่มผงคาร์บอนข้างในมักจะสึกกร่อนทำให้สัญญาณสะดุดไม่ต่อเนื่องได้เวลาเปลี่ยนมันแล้ว  ตัวต้านทานไวร์วาวเส้นลวดมักจะขาดวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยเนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Power Resistor มักจะเสียในลักษณะขาด   ตัวต้านทานชนิดอื่นๆมักจะขาดและยืดค่า กรณีค่าความต้านทานยืดค่านี้ทำให้กระแสและแรงดันในวงจรเปลี่ยนไปและทำให้จุดทำงานจุดไบบัสของวงจรเปลี่ยนไปด้วยผลคือวงจรอาจทำงานผิดปกติ

3. เมื่อใช้ย่านวัดตัวต้านทาน ( Ohm Meter ) รวมทั้งย่านวัดความต่อเนื่อง ( ย่านวัดเสียง)  วัดอุปกรณ์ต่างๆในบอร์ด  ต้องวัดขณะที่ไม่มีไฟอยู่  ให้ตัดไฟหรือถอดปลั๊กก่อนทุกครั้ง เนื่องจากย่านวัดตัวต้านทานใช้ไฟจากแบตเตอร์รี่ข้างใน  ระบบไฟจะชนกันและหลักการทำงานมันขัดแย้งกันทำให้มิเตอร์พังและวัดเพี้ยนได้

4. เช็คดูย่านวัดให้ดีก่อนวัดว่าใช้ย่านวัดถูกต้องไหม  ?    ห้ามตั้งย่านวัดแรงดันแล้วไปวัดกระแส  ห้ามตั้งย่านวัดกระแสแล้วไปวัดแรงดันเพราะมิเตอร์จะพังทันที เนื่องจากหลักการทำงานของแต่ละย่านวัดไม่เหมือนกันการตั้งย่านวัดผิดคือใช้งานวงจรผิดประเภทมันขัดแย้งกับหน้าที่วงจรที่ออกแบบไว้    กรณีตั้งย่านวัดผิดมัลติมิเตอร์ดิจิตอลบางรุ่นมีอุปกรณ์ป้องกันก็ดีไปและมัลติมิเตอร์ที่ไม่มีวงจรป้องกันก็จะพัง การซ่อมมัลติมิเตอร์ถึงแม้จะซ่อมได้แต่มันจะไม่เหมือนเดิมเพราะมันเป็นเครื่องมือวัดละเอียดต้องมีการคาลิเบตเพื่อให้ได้ค่าการวัดที่เที่ยงตรงและถูกต้อง การคาลิเบตต้องให้โรงงานผลิตหรือศูนย์รับคาลิเบตเครื่องมือวัดโดยเฉพาะเป็นผู้ปรับค่า

5. คาปาซิเตอร์ไฮล์โวลต์และคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ให้คิดไว้ก่อนว่ามีไฟค้างแน่ๆ  ให้ใช้โวลต์มิเตอร์วัดไฟดูก่อนว่ามีไฟค้างไหม  กรณีมีไฟค้างต้องดิสชาร์จก่อน


วัดทรานซิสเตอร์    แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์
                                               แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์โดยไม่ต้องสนใจขา

แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์ ถ้าทรานซิสเตอร์ดีเมื่อใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มย่านวัด  Rx1K วัดขา B กับ E  และวัดขา  B กับ C  เข็มต้องขึ้น 1 ครั้งและไม่ขึ้น 1 ครั้ง  จะเป็นลักษณะนี้ถ้าทรานซิสเตอร์ดี ( โดยไม่ต้องสนใจขา )  ถ้าสุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยไม่มีการเคลื่อนของเข็มเลยคือเสียลักษณะขาดแล้ว   ถ้าสุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มขึ้นสุดสเกลตลอดคือเสียลักษณะช๊อตแล้ว



เลือกหัวข้อ     เพื่ออ่านต่อ    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์    มี   17  ตอน



เรียนอาชีวะดีไหม เรียนเทคนิคและสายอาชีพ สายช่างดีไหม และข้อมูลควรรู้ก่อนเรียน

การเรียนอาชีวะเป็นการเรียนสายอาชีพซึ่งมุ่งฝึกทักษะอาชีพเฉพาะทาง   มีข้อดีหลายอย่าง และ ก็มีข้อควรพิจารณาที่ควรรู้ก่อนเลือกเรียนด้วย  หลังจากอ่านบทความนี้จะทราบถึงข้อดีและข้อควรรู้ก่อนเลือกเรียนสายอาชีวะ    ข้อมูลในบทความนี้เป็นการบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านการเรียนอาชีวะสาขาช่างมาจากวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งและข้อมูลในบทความนี้ทุกคนสามารถพิจารณาตามได้ว่ามันมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน    คนเรียนสายอาชีวะสามารถประสบความสำเร็จ ประกอบอาชีพส่วนตัวและเรียนต่อในระดับปริญญาได้โดยมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดรับคนเรียนจบสายอาชีวะให้เรียนต่อระดับสูงขึ้นกรณีต้องการเรียนต่อระดับปริญญา       มีวีดีโอในยูทูปจำนวนมากที่พูดถึงปัญหาการว่างงานและยังแนะนำทางออกให้ปัญหานี้คือให้คนเลือกเรียนสายเทคโนโลยี   สายอาชีวะ/สายช่าง และ สายวิทยาศาสตร์   เนื่องจากตำเหน่งงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม การค้าและการบริการต่างๆ  ต้องการคนที่เรียนจบสาขาเหล่านี้


เรียนอาชีวะ  เรียนเทคนิค  สายอาชีพ  ดีไหม




ข้อดีของการเรียนอาชีวะ / สายอาชีพ

1)  ข้อดีของการเรียนสายอาชีพคือเป็นการเรียนที่มุ่งเน้นฝึกทักษะวิชาชีพที่ใช้ในการทำงานจริง  ทำให้มีความพร้อมในการทำงานสูงเมื่อเรียนจบ
2)  มีความยืดหยุ่นสูงเรื่องระยะเวลาเรียน  คือ  จบ  ปวช  ปวส  ก็สามารถหางานก่อนถ้ามีความต้องการเรียนต่ออีกครั้งก็สามารถกลับมาเรียนต่อระดับปริญญาได้เมื่อพร้อม   ส่วนอีกกรณีคือจบ ปวช  และต้องการเรียนต่อปริญญาตรีรวดเดียวเลยก็ทำได้     จะเห็นว่าตรงนี้เป็นข้อดีของการเรียนสายอาชีวะคือมีความยืดหยุ่นสูงและหลายคนก็อาจต้องการความยืดหยุ่นนี้
3)  มีความเจาะจงต่อตำเหน่งงานสูง    สายอาชีวะมีจุดประสงค์การเรียนการสอนเพื่อทำงานและตอบโจทย์ตำเหน่งงานที่เจาะจงและชัดเจนตั้งแต่แรก  ยกตัวอย่างเช่น เรียนช่างไฟก็เพื่อไปประกอบอาชีพเป็นช่างไฟและอาชีพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า   เช่น ทำกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า  การติดตั้งระบบไฟฟ้า   ดูแลระบบไฟฟ้า  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า   ทำงานสายเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับไฟฟ้า   นอกจากนี้หลักสูตรช่างไฟฟ้าระดับ   ปวช   ปวส   ก็ยังมีการเรียนวิชาสามัญเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการต่อในระดับปริญญาตรีอีกด้วย



ข้อควรรู้และควรพิจารณาก่อนเลือกเรียนสายอาชีวะ 

   การเรียนอาชีวะคาบเวลาเรียนส่วนใหญ่จะเป็นวิชาชีพเฉพาะทาง อีกทั้งความสนใจของผู้เรียนและบรรยากาศการเรียนการสอนของวิทยาลัยก็จะมุ่งเน้นสอนและฝึกทักษะวิชาชีพเป็นลำดับแรก   ส่วนวิชาสามัญ( เช่น คณิต ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษ )ก็จะมีการสอนโดยมีความเข้มข้นดีระดับหนึ่ง ( แต่ไม่เหมือนสาย ม. 6   เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาเรียนและบรรยากาศการเรียนด้วย ) มันเป็นธรรมชาติของการเรียนสายอาชีพที่จะเน้นเรียนและฝึกทักษะวิชาชีพเป็นหลัก   ส่วนวิชาสามัญอื่นๆจะมีการเรียนเท่าที่จำเป็นตามหลักสูตรกำหนด    ต่างจากสาย ม.6 จะมีคาบเวลาเรียนจำนวนมากและมุ่งเน้นเรียนวิชาสามัญอย่างเดียวแบบเข้มข้นทำให้มีความพร้อมสำหรับการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยสูงกว่า   โดยสาย ม. ุ6  จะได้บรรยากาศของการเรียนเพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัย ( แต่สาย ม.6 จะมีการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยที่สูงมากจากนักเรียน  ม.ปลายทั่วประเทศ นี้อาจเป็นข้อควรพิจารณาของสาย  ม.6 )   โดยปกติบางสาขาวิชาในมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรที่รับคนเรียนจบสายอาชีวะมาเรียนต่อโดยเฉพาะและแยกจากสาย ม.6 เพื่อปรับวิชาเรียนให้ครบตามหลักสูตรของสาขาวิชานั้นๆกำหนดไว้   คนเรียนสายอาชีวะก็สามารถวางแผนการเรียนต่อในระดับสูงได้เช่นกันโดยต้องมีการเตรียมตัวเพื่อสอบและสำรวจว่าเส้นทางสายอาชีพที่เลือกเรียนอยู่นั้นถ้าต้องการเรียนต่อระดับสูงขึ้นไปอีกต้องไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอะไร   มีหลักสูตรอะไรให้เรียนต่อบ้าง   การสำรวจเส้นทางการเรียนและเส้นทางอาชีพนี้ต้องทำตั้งแต่ตอนแรกๆที่เลือกเรียน     ปัญหาการเตรียมตัววิชาสามัญ(  คณิต ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษ )ให้พร้อมนี้ก็มีทางออกสำหรับสายอาชีวะ   ปัจจุบันมีหนังสือและคอร์สสอนออนไลน์จำนวนมากที่ติววิชา  ม.ต้น  ม.ปลายและติววิชาที่ใช้สอบวิศวะโดยเฉพาะ   คนที่สนใจก็สามารถเลือกเรียนเพิ่มเติมตามเวลาที่สะดวกเพื่อปูพื้นฐานวิชาสามัญให้แน่นและพร้อมสำหรับการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน


สรุปการเรียนสายอาชีวะ / สายอาชีพมีข้อดีหลายข้อและข้อที่สำคัญคือมีความยืดหยุ่นสูงเรื่องระยะเวลาเรียน   การเรียนสายอาชีวะช่วยแก้ปัญหาคนเรียนปริญญาที่หลายสาขามีจำนวนคนเรียนมากเกินไป  ทำให้หางานทำยากเนื่องจากตลาดแรงงานไม่ได้ต้องการคนจบปริญญามากขนาดนั้น   กลับกันสาขาที่เปิดสอนในสถาบันอาชีวะส่วนใหญ่เป็นสาขาที่มีการจ้างงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ  การเรียนสายอาชีวะก็ไม่ได้มีข้อดีไปหมดมันมีข้อควรพิจารณาด้วยซึ่งบทความนี้ได้แนะนำแนวทางแก้ปัญหานี้ไว้เแล้ว  บางอาชีพการเรียนระดับ ปวช ปวส ก็เพียงพอสำหรับการประกอบอาชีพได้แล้วไม่ต้องเสียเวลาเรียน 4-5 ปีในมหาวิทยาลัย  อีกทั้งปัจจุบันมีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี   คนปัจจุบันนิยมเลือกเรียนตามความสนใจเฉพาะวิชาที่อยากเรียนและใช้เวลาเรียนไม่นานเกินไปด้วย


เลือกเรื่องถัดไปที่น่าสนใจอ่านต่อ  
เช่น  การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี  17 ตอน

เรียนช่างอะไรดี ระหว่างเรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดีไหม ตอนท้ายตอบคำถามการเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม

ตอบคำถามการเรียนช่างว่าจะเลือกเรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดี    มีรูปและตารางประกอบช่วยให้เข้าใจง่าย อยู่ด้านล่าง  ตอนท้ายสุดเป็นการตอบคำถามเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม   ข้อมูลที่อยู่ใบบทความนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง ผ่านการสมัครงาน  หางานและทำงานตามโรงงานมาก็หลายที่จนในที่สุดเมื่อหาประสบการณ์ในโลกกว้างเพียงพอแล้วปัจจุบันหันมาประกอบกิจการส่วนตัวเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียน   จึงนำประสบการณ์และข้อมูลมาแบ่งปัน    ข้อดีของการเรียนช่างคือสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้มาทำงานตามบริษัทต่างๆ    โรงงานอุตสากรรม    ประกอบกิจการส่วนตัว   รับงานพิเศษระหว่างเรียน   ทำงาน DIY    ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาในอนาคตเราก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม  Up Skill  ได้เนื่องจากมีทักษะช่างพื้นฐานเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว  สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อระดับสูงขึ้น ปัจจุบันก็มีมหาวิทยาลัยหลายที่เปิดสาขาให้เรียนต่อจนถึงระดับปริญญาตรี  โท  เอก  การเรียนช่างเป็นการนำความรู้+ทักษะไปใช้งานจริงและประยุกต์หลักการทางฟิสิกส์ / วิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ   ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานตามโรงงาน/บริษัทต่างๆแล้วก็ตามแต่ความรู้และทักษะช่างที่มีอยู่นั้นสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเยอะยกตัวอย่างเช่น ทำระบบ  Smart  Home   ,  Smart Farming   ใช้อุปกรณ์ IT   ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ     ดูแลระบบไฟฟ้าที่ผิดปกติให้บ้านตัวเอง  ให้เพื่อนบ้าน  ชุมชนและวัด  เป็นต้น และในอนาคตใกล้ๆนี้จะมีเรื่องรถไฟฟ้าและสิ่งที่เกียวข้องมาแน่นอน   พลังงานทดแทนแบบต่าง ๆ  ( เช่น โซลาร์เซลล์ )  อุปกรณ์   IOT  การสื่อสาร  5G  6G    เราก็จะเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้และอยู่ในแทรนด์นี้ได้ไม่ยาก


เรียนช่างอะไรดี


เรียนไฟฟ้ากำลัง หรือ  เรียนอิเล็กทรอนิกส์

วิเคราะห์เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดี    ?

       ไฟฟ้าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่สำคัญมากเราจะขาดไฟฟ้าไม่ได้เลย   ระบบไฟฟ้าทีมีอยู่ปัจจุบันนี้ก็ต้องการช่างไฟฟ้าและวิศวกรไฟฟ้ามาดูแลให้มันใช้งานได้ปกติและปลอดภัยตามหลักการและมาตฐาน   ถ้าจะออกแบบระบบไฟฟ้าใหม่ ต่อเติมไฟก็ต้องให้วิศกรไฟฟ้ามาออกแบบให้    ทุกโรงงาน  ทุกตึกขนาดใหญ่  ศูนย์การค้าต่างๆ  อาคารพาณิชย์และออฟฟิศ  ล้วนต้องการช่างไฟฟ้ามาดูแลระบบไฟฟ้าให้ทั้งสิ้น  ลักษณะงานของช่างไฟฟ้า   เช่น  ไฟฟ้าแสงสว่าง  ระบบไฟฟ้าสำรอง    ดูแลระบบแอร์   ตู้เย็น   ตู้แช่สินค้าต่างๆ   ลิฟท์   บันไดเลื่อน  ระบบดับเพลิง   ปั้มน้ำ  ระบบความปลอดภัยในอาคาร  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องกลไฟฟ้าต่างๆ   บางที่ช่างไฟฟ้าอาจต้องดูแลระบบประปาด้วย ดูแลระบบไฟฟ้ากำลังทั้งภายนอกอาคารและภายในอาคาร เพิ่มจุดเต้ารับเต้าเสียบ  ถ้าเป็นงานในโรงงานก็ดูแลระบบอัตโนมัติต่างๆที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนในไลน์การผลิต   ดูแลระบบไฟในสายพานการผลิต   โรงงานที่ทำเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า   เครื่องใช้ไฟฟ้า  บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ  ซอฟแวร์    ป้ายโฆษณา   นอกจากนี้สาขาไฟฟ้ากำลังยังไปเกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างและงานโยธาอีกทั้งภาครัฐและเอกชน    ดังนั้นปริมาณงานของสาขาไฟฟ้ากำลังจึงมีจำนวนงานมากโดยงานกระจายอยู่ทุกภาคอุตสาหกรรมทั้งโรงงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ  แม้กระทั้งตามบ้านเรือนทั่วไปต่างจังหวัดยังมีงานของไฟฟ้ากำลังให้ทำเยอะ   เรียนสาขาไฟฟ้ากำลังหางานง่ายเนื่องจากปริมาณงานในตลาดที่เยอะและงานแทรกอยู่ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

 

เรียนอาชีวะดีไหม เรียนช่างอะไรดี

สาขาไฟฟ้ากำลัง  งานเสาไฟฟ้าแรงดันต่ำและแรงดันสูงเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังจุดต่างๆ



เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์
                       ตัวอย่าง  วงจรอิเล็กทรอนิกส์


      สาขาอิเล็กทรอนิกส์เป็นการเรียนเกี่ยวกับการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาต่อใช้งานเป็นวงจรต่างๆ   ขอบเขตของงานอิเล็กทรอนิกส์ที่แตกต่างจากสาขาไฟฟ้ากำลังคือ  อิเล็กทรอนิกส์เน้นเรียนเกี่ยวกับระบบภาพ  ระบบเสียง การขยายสัญญาณ  การสื่อสาร  การใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์  การเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมฮาร์ดแวร์    ไฟฟ้าพื้นฐานช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็เรียนเหมือนกันกับช่างไฟฟ้ากำลังดังนั้นถ้าไฟฟ้าขัดข้องที่เป็นเรื่องไฟฟ้าพื้นฐานช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถแก้ไขปัญหาทางไฟฟ้านี้ได้   ถ้าเป็นงานเมนไฟฟ้ากำลังที่เป็นงานนอกอาคาร เช่น  ปีนเสาไฟฟ้า ติดตั้งสายไฟนั้นเป็นงานเมนของช่างไฟฟ้ากำลัง งานระบบไฟแรงดันสูงแรงดันต่ำตามถนนต่างๆก็เป็นงานเมนของช่างไฟฟ้ากำลัง   ช่างอิเล็กทรอนิกส์เน้นเรียนและสามารถต่อยอดไปทาง  Smart  Home  , Smart  Farming เกษตรอัจฉริยะ  , อุปกรณ์ IOT ต่างๆ  Rasperi  Adrino  เทคโนโลยีเพื่อการเกษตรใหม่ๆ   โดรนเพื่อการเกษตร      เป็นต้น  จะต่อยอดไปทางซ่อมโทรศัพท์  อุปกรณ์ IT ต่างๆก็ต่อยอดได้ดีเช่นกัน  ระบบ AI    ซ่อมและดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ  อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ   สาขาอิเล็กรอนิกส์ต่อยอดไปซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์เทคโนโลยีได้ดี  งานช่างไฟฟ้ากำลังส่วนมากเป็นงานโปรเจครับเหมาทำเล่นไม่ค่อยได้    ส่วนงานอิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาทำเป็นงาน DIY  ต่างๆได้   เนื่องจากโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และจำนวนบริษัทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมและการสื่อสารในไทยค่อนข้างมีจำนวนจำกัดส่งผลให้งานของช่างอิเล็กทรอนิส์มีจำนวนจำกัดไปด้วย   ถ้าคนเรียนสาขาอิเล็กทรอนิกส์และอยากหางานง่ายให้เรียนเน้นหรือไปหาเรียนเสริมพวกวิชา  ไฟฟ้าคอนโทรล  PLC   เซนเซอร์  ซึ่งวิชาเหล่านี้โรงงานต้องการช่างที่มีทักษะด้านนี้เยอะเวลาทำงานที่หน้างานจริงๆเขาให้ดูแลเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติต่างๆมันจะมีงานปนกันทั้งงานส่วนที่เป็นงานไฟฟ้าคอนโครล และงานส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ช่างก็ต้องทำงานให้เป็นทั้งหมด  ถึงแม้โรงงานจะรับช่างเมนอิเล็กทรอนิกส์และเมนไฟฟ้ากำลังมาด้วยก็จริง  ถ้าเราทำงานได้หมดโอกาสหางานง่ายก็สูงขึ้นมาก อีกทั้งเรียนจบแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องหางานเลยเพราะเรามีทักษะช่างที่โรงงานต้องการอยู่แล้ว   จึงแนะนำคนเรียนสาขาอิเล็กทรอนิกส์ถ้าเรียนเน้นหรือไปหาเรียนเสริมวิชาไฟฟ้าคอนโทรล  PLC  เซนเซอร์แบบต่างๆ  ก็จะหางานทำตามโรงงานอุตสาหกรรมได้ง่ายเนื่องจากตำเหน่งงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้าคอนโทรล PLC  เซนเซอร์ มีตำเหน่งงานรองรับเยอะกว่างานวงจรอิเล็กทรอนิกส์มาก   ให้ดูรูปในตารางประกอบสาขาไฟฟ้ากำลังจะเน้นวิชาเมนของไฟฟ้ากำลัง  สาขาอิเล็กทรอนิกส์จะเน้นเรียนวิชาเมนของอิเล็กทรอนิกส์  ส่วนช่องตรงกลางสามารถเรียนได้ทั้งสาขาไฟฟ้ากำลังหรืออิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากเป็นวิชาต่อยอดจากวิชาพื้นฐาน     นอกจากนี้ยังมีสาขาวิชาใหม่ๆที่เน้นเรียนเฉพาะด้านไปอีก เช่น สาขาวิชาระบบวัดคุม สาขาวิชาแมคคาทรอนิกส์ เป็นต้น

ให้เช็คความชอบความถนัดของตัวเอง   เทรนด์ของเทคโนโลยี   และปริมาณตำเหน่งงานในตลาด  รวมถึงงานที่อยากทำจริงๆเพื่อประกอบเป็นอาชีพในอนาคตด้วยมาเป็นเกณฑ์ในการเลือกสาขาที่จะเรียน  

 


ตอบคำถามการเรียนช่าง :  เรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม   ?

คำตอบคือไม่ยากเกินไปและก็ไม่ง่าย  คิดว่าคนส่วนมากสามารถเรียนได้และก็สามารถเช็คตัวเองตอนนี้ได้เลยว่าชอบและเหมาะที่จะเรียนช่างไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ไหม  ?  การเรียนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระดับ ปวช ปวส  ป.ตรีหรือวิศวะ  ต้องมีการนวณหาค่ากระแส แรงดัน ความต้านทาน  แก้สมการต่างๆ  เพื่อหาค่าของอุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องใช้ในวงจร   ให้เช็คตัวเองว่าวิชาคณิต ฟิสิกส์และภาษาอังกฤษเรียนได้ดีระดับหนึ่งไหม  ?    การเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นั้นคณิตศาสตร์ต้องดีระดับหนึ่ง วิทยาศาสตร์ต้องดีระดับหนึ่งโดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์เพราะเป็นพื้นฐานของช่างหรือวิศวะทุกสาขา ภาษาอังกฤษต้องใช้ในการอ่านตำราภาษาอังกฤษด้วยเพราะสาขาเทคโนโลยีต่างๆจะอ่านเพียงตำราภาษาไทยนั้นมันไม่เพียงพอ ตอนทำงานต้องอ่านคู่มือการทำงานของเครื่องซึ่งเป็นภาษาอังกฤษและอ่านสเปคของอุปกรณ์ต่างๆก็เป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน  หลายครั้งการทำงานจริงๆต้องติดต่อกับต่างประเทศ ถ้าได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติภาษาอังกฤษก็ยิ่งจำเป็นและสำคัญมากขึ้นไปอีก    


เรียนช่างอะไรดี  เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์

น้องๆที่เรียนระดับมัธยมปลายมีการเรียนวิชาฟิสิกส์ก็จะมีบทที่เป็นเรื่องไฟฟ้าอยู่หลายบทเรียนตรงนั้นให้แน่นและเรียนให้เข้าใจเพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก  สำหรับน้องๆที่เรียน ม.ต้น ก็ให้เน้นคณิตและวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจเพราะนอกจากจะใช้เรียนต่อ ม.ปลายแล้วถ้าเรามีพืนฐานดีตั้งแต่ตอน ม.ต้นนี้ อนาคตเราก็จะเรียนได้ดีเพราะจากการสังเกตหลายๆวิชาที่เรียน มันจะเป็นวิชาต่อเนื่องกันถ้าเรียนวิชาพื้นฐานให้เข้าใจดีตั้งแต่เทอมแรกปีแรก การเรียนวิชาต่อเนื่องก็จะง่ายไปด้วย  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเรียนเข้าใจเรื่องตรีโกณมิติดีก็จะทำให้เราเรียนวิชาไฟฟ้ากระแสสลับเข้าใจง่ายไปด้วยเนื่องจากในวิชาไฟฟ้ากระแสสลับจะมีเรื่องมุมเฟสทางไฟฟ้าและนำเรื่องมุมต่างๆนี้ไปแก้สมการทางไฟฟ้ากระแสสลับเยอะมาก  ถ้าเราเรียนเข้าใจเรื่องการแก้สมการในวิชาคณิตจะทำให้เราเรียนวิชาไฟฟ้ากระแสตรงหาค่าตัวแปรทางไฟฟ้าต่างๆ เช่น  V   I   R   เมื่อเรียนเข้าใจก็จะรู้สึกสนุกกับมันในการเรียนรู้บทต่อๆไป     สำหรับการเรียนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในระดับ  ป.ตรีนั้นจะมีวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง  การแก้สมการทางไฟฟ้าและวิเคราะห์วงจรไฟฟ้านั้นก็จะใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูง   แต่ไม่ต้องกังวลเพราะถ้าวิชาพื้นฐานเราดีระดับหนึ่งบวกกับตอนเรียนเราก็ตั้งใจเรียนมันจะช่วยเสริมกันให้เรียนได้ดีแน่นอน 


เลือกเรื่องถัดไปที่น่าสนใจ   อ่านต่อ  

เช่น  การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี  17 ตอน