แนวทางทั่วไป ซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์    พื้นฐานการซ่อมบอร์ด

การซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อยที่สุดต้องมี   5  ข้อต่อไปนี้  ลองเช็คว่ายังขาดส่วนไหนเช่นยังวัดอุปกรณ์ดีเสียไม่เป็น.....ก็สามารถเรียนรู้เพิ่มได้ตลอดเวลาเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดอยู่      

 1)  พื้นฐานการใช้งานมัลติมิเตอร์เพื่อวัดไฟตามจุดต่างๆ และใช้วัดสภาพอุปกรณ์ว่าดีหรือเสีย                   2) ต้องรู้วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น  วงจรอนุกรม  วงจรขนาน ไฟ AC  ไฟ  DC  ความหมายของคำว่า ไฟฟ้าลัดวงจร ไฟฟ้าช๊อตและการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า  เป็นต้น  เพื่อให้ปฏิบัติงานซ่อมได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งงานที่ซ่อมเสร็จนอกจากวงจรจะต้องทำงานได้ปกติแล้วยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของวงจรด้วย เช่น สายไฟหลุดแล้วต้องไม่ซ๊อตกัน  กรณีวงจรทำงานผิดปกติมีกระแสเกินแล้ววงจรต้องตัดการทำงานด้วยอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน   เป็นต้น                                                                                                     3)  รู้จักอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นและหลักการทำงานของมัน  เช่น  ฟิวส์   รีเลย์  ตัวต้านทาน  ตัวเก็บประจุ  หม้อแปลงไฟฟ้า  ลำโพง  ไดโอด   ทรานซิสเตอร์   เป็นต้น  การรู้หลักการทำงานของมันทำให้สามารถไล่วงจรอิเล็กทรอนิกส์และหาอะไหล่แทนได้                                                                       4)  รู้จักวงจรพื้นฐานต่างๆ เริ่มจากหัดไล่วงจรง่ายๆก่อน หนังสือจำพวกโครงงานต่างๆจะแนะนำให้หัดไล่วงจรและการทำงานของวงจรพื้นฐานได้เป็นอย่างดี                                                                                     5)  ทักษะพื้นฐาน เช่น การใช้หัวแร้งบัดกรี  การอ่านค่าอุปกรณ์เป็น  เป็นต้น


ซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์     พื้นฐานการซ่อมบอร์ด


การซ่อมให้เริ่มดูจากอาการเสียก่อนและไล่เช็คแผงวงจรไปที่ละจุดแบบ  1-2-3-4  มีแนวทางทั่วไปสำหรับซ่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นข้อๆต่อไปนี้    เพื่อประหยัดเวลาซ่อมและงานซ่อมออกเยอะๆให้มุ่งไปที่อุปกรณ์ที่มีโอกาสเสียง่ายก่อน  ให้เช็คจุดต่างๆดังนี้ 

1.  จุดเชื่อมต่อและเส้นทางไหลของกระแสไฟฟ้า  เช่น สายไฟ  คอนเนกเตอร์  ขั้วต่อ ลายวงจรขาด ทั้งในส่วนของพาวเวอร์ และ   ส่วนเส้นทางของสัญญาณ

2. อุปกรณ์ที่มีกลไกการเคลื่อนที่  เช่น  รีเลย์  สวิตช์ชนิดต่างๆ  สวิตช์ทุกชนิดมีอายุการใช้งาน  ลองเช็คดูว่ามันเสียไหมหรือปกติดี  ?  ลองกดเปิดปิดแล้วเช็คสถานะของคอนแทคมันเปลี่ยนตามการกดหรือไม่  ?

3. อุปกรณ์พาวเวอร์มีโอกาสเสียสูง  สังเกตง่ายๆมันเป็นอุปกรณ์ตัวใหญ่มีกระแสไหลผ่านสูง เช่น ทรานซิสเตอร์  มอสเฟต  SCR  ไดโอด  เป็นต้น อีกทั้ง IC ก็มีโอกาสเสียรองลงมา  อุปกรณ์พาวเวอร์ชอบเสียในลักษณะช๊อตหรือขาด การวัดดีเสียแบบไร้กระบวนท่าคือวัดแล้วขึ้นสุดสเกลทั้ง 2 ครั้งหรือได้ 0 โอห์มตลอดคือซ๊อตแล้ว การวัดทรานซิสเตอร์ใช้ Rx1K สุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยสักครั้งคือมันขาดแล้ว ( ปกติการวัดทรานซิสเตอร์ถ้ามันดีตรงขา B-E กับขา  B-C จะวัดขึ้น 1 ครั้งและวัดไม่ขึ้น 1 ครั้ง ) ที่ท้ายบทความจะอธิบายการวัดทรานซิสเตอร์แบบสุ่มอีกรอบ

4. อุปกรณ์ป้องกันก็มีโอกาสเสียสูง   เมื่อวงจรทำงานผิดปกติเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น มีกระแสเกิน แรงดันเกิน  อุปกรณ์ป้องกันมีหน้าที่เป็นด่านแรกที่จะป้องกันและเสียลละตัวเอง ตัดวงจรออกก่อนที่ส่วนอื่นๆจะเสียหาย  กลุ่มอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้องกัน เช่น   ฟิวส์    ซีเนอร์ไดโอด   วาริสเตอร์ ( MOV ) เป็นต้น

5. ใช้วงจร ( Manual) และคู่มือซ่อมให้เป็นประโยชน์  ถึงแม้วงจรพื้นฐานประเภทเดียวกันจะมีหลักการทำงานกว้างๆเหมือนกัน แต่ผู้ผลิตวงจรแต่ละรายมีเทคนิคและคิดค้นพัฒนาวงจรมาไม่เหมือนกันทีเดียว มีรายละเอียดปลีกย่อยและ วงจรที่ซับซ้อนต้องใช้วงจรประกอบการซ่อมและไล่เป็นบล๊อคไดอะแกรมไป หลายครั้งพบว่าผู้ผลิตอุปกรณ์มีคู่มืออุปกรณ์ให้พร้อมกับแนะนำวิธีแก้ปัญหาเมื่อวงจรเสียแบบต่างๆ   สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์สูงผ่านการซ่อมมาเยอะก็สามารถจำวงจรหลักและอาการเสียของยี่ห้อต่างๆได้เลยทีเดียว เราก็สามารถเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์สูงได้  ส่วนตัวเราเองจะมีประสบการณ์ได้ต้องซ่อมเยอะๆเพื่อให้เจอเคสต่างๆเยอะๆเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งเราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงได้เช่นกัน   " ก่อนซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ต้องรู้จักหลักการทำงานและวงจรเบื้องต้นของมันก่อน " 



หนังสือ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า
                                          หนังสือ  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยตัวเอง

ช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ไม่ยากเพราะช่างอิเล็กทรอนิกส์มีพื้นฐานการใช้มัลติมิเตอร์ที่ดีมาก  เข้าใจวงจรไฟฟ้าเบื้องต้น และ รู้จักอุปกรณ์และวัดอุปกรณ์ดีเสียเป็น เรียนรู้หลักการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มอีกนิดก็จะซ่อมได้   หนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อหนังสือค้นใน Google  " ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยตัวเอง "  ก็จะเจอในร้านออนไลน์และร้านหนังสือใหญ่ๆ และห้องสมุดบางแห่งอาจจะมี


การวัดอุปกรณ์ในบอร์ด

การวัดอุปกรณ์มีทั้งตัวที่สามารถวัดในวงจรเพื่อเช็คดีเสียเบื้องต้นได้ และ บางตัวต้องถอดออกมาวัดนอกวงจรหรือต้องลอยขาอุปกรณ์หนึ่งข้างก่อนจึงจะวัดได้  อีกหนึ่งวิธีที่นิยมทำกันก็คือวัดเปรียบเทียบกันสมมุติว่าในบอร์ดมีทรานซิสเตอร์เบอร์เดียวกันหลายตัวก็ให้วัดเทียบค่าความต้านทาน

1. อุปกรณ์ที่สามารถวัดในวงจรคร่าวๆเพื่อเช็คว่าดีหรือเสีย โดยไม่ต้องถอดออกจากวงจร ( แต่ต้องถอดปลั๊กก่อนวัดทุกครั้งหรือวัดในขณะที่ไม่มีไฟ )    มีตัวต้านทาน   LED   ไดโอด  ลำโพง  บัซเซอร์  เป็นต้น

2. อาการเสียของตัวต้านทาน  ตัวต้านทานปรับค่าได้หรือวอลุ่มผงคาร์บอนข้างในมักจะสึกกร่อนทำให้สัญญาณสะดุดไม่ต่อเนื่องได้เวลาเปลี่ยนมันแล้ว  ตัวต้านทานไวร์วาวเส้นลวดมักจะขาดวัดแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยเนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Power Resistor มักจะเสียในลักษณะขาด   ตัวต้านทานชนิดอื่นๆมักจะขาดและยืดค่า กรณีค่าความต้านทานยืดค่านี้ทำให้กระแสและแรงดันในวงจรเปลี่ยนไปและทำให้จุดทำงานจุดไบบัสของวงจรเปลี่ยนไปด้วยผลคือวงจรอาจทำงานผิดปกติ

3. เมื่อใช้ย่านวัดตัวต้านทาน ( Ohm Meter ) รวมทั้งย่านวัดความต่อเนื่อง ( ย่านวัดเสียง)  วัดอุปกรณ์ต่างๆในบอร์ด  ต้องวัดขณะที่ไม่มีไฟอยู่  ให้ตัดไฟหรือถอดปลั๊กก่อนทุกครั้ง เนื่องจากย่านวัดตัวต้านทานใช้ไฟจากแบตเตอร์รี่ข้างใน  ระบบไฟจะชนกันและหลักการทำงานมันขัดแย้งกันทำให้มิเตอร์พังและวัดเพี้ยนได้

4. เช็คดูย่านวัดให้ดีก่อนวัดว่าใช้ย่านวัดถูกต้องไหม  ?    ห้ามตั้งย่านวัดแรงดันแล้วไปวัดกระแส  ห้ามตั้งย่านวัดกระแสแล้วไปวัดแรงดันเพราะมิเตอร์จะพังทันที เนื่องจากหลักการทำงานของแต่ละย่านวัดไม่เหมือนกันการตั้งย่านวัดผิดคือใช้งานวงจรผิดประเภทมันขัดแย้งกับหน้าที่วงจรที่ออกแบบไว้    กรณีตั้งย่านวัดผิดมัลติมิเตอร์ดิจิตอลบางรุ่นมีอุปกรณ์ป้องกันก็ดีไปและมัลติมิเตอร์ที่ไม่มีวงจรป้องกันก็จะพัง การซ่อมมัลติมิเตอร์ถึงแม้จะซ่อมได้แต่มันจะไม่เหมือนเดิมเพราะมันเป็นเครื่องมือวัดละเอียดต้องมีการคาลิเบตเพื่อให้ได้ค่าการวัดที่เที่ยงตรงและถูกต้อง การคาลิเบตต้องให้โรงงานผลิตหรือศูนย์รับคาลิเบตเครื่องมือวัดโดยเฉพาะเป็นผู้ปรับค่า

5. คาปาซิเตอร์ไฮล์โวลต์และคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ให้คิดไว้ก่อนว่ามีไฟค้างแน่ๆ  ให้ใช้โวลต์มิเตอร์วัดไฟดูก่อนว่ามีไฟค้างไหม  กรณีมีไฟค้างต้องดิสชาร์จก่อน


วัดทรานซิสเตอร์    แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์
                                               แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์โดยไม่ต้องสนใจขา

แนวทางการสุ่มวัดทรานซิสเตอร์ ถ้าทรานซิสเตอร์ดีเมื่อใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มย่านวัด  Rx1K วัดขา B กับ E  และวัดขา  B กับ C  เข็มต้องขึ้น 1 ครั้งและไม่ขึ้น 1 ครั้ง  จะเป็นลักษณะนี้ถ้าทรานซิสเตอร์ดี ( โดยไม่ต้องสนใจขา )  ถ้าสุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มไม่ขึ้นเลยไม่มีการเคลื่อนของเข็มเลยคือเสียลักษณะขาดแล้ว   ถ้าสุ่มวัดขาต่างๆแล้วเข็มขึ้นสุดสเกลตลอดคือเสียลักษณะช๊อตแล้ว



เลือกหัวข้อต่อไปนี้   เพื่ออ่านต่อ    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์    มี   17  ตอน



เรียนอาชีวะดีไหม เรียนเทคนิคและสายอาชีพ สายช่างดีไหม และข้อมูลควรรู้ก่อนเรียน

การเรียนอาชีวะเป็นการเรียนสายอาชีพซึ่งมุ่งฝึกทักษะอาชีพเฉพาะทาง   มีข้อดีหลายอย่าง และ ก็มีข้อควรพิจารณาที่ควรรู้ก่อนเลือกเรียนด้วย  หลังจากอ่านบทความนี้จะทราบถึงข้อดีและข้อควรรู้ก่อนเลือกเรียนสายอาชีวะ    ข้อมูลในบทความนี้เป็นการบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านการเรียนอาชีวะสาขาช่างมาจากวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งและข้อมูลในบทความนี้ทุกคนสามารถพิจารณาตามได้ว่ามันมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน    คนเรียนสายอาชีวะสามารถประสบความสำเร็จ ประกอบอาชีพส่วนตัวและเรียนต่อในระดับปริญญาได้โดยมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดรับคนเรียนจบสายอาชีวะให้เรียนต่อระดับสูงขึ้นกรณีต้องการเรียนต่อระดับปริญญา       มีวีดีโอในยูทูปจำนวนมากที่พูดถึงปัญหาการว่างงานและยังแนะนำทางออกให้ปัญหานี้คือให้คนเลือกเรียนสายเทคโนโลยี   สายอาชีวะ/สายช่าง และ สายวิทยาศาสตร์   เนื่องจากตำเหน่งงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม การค้าและการบริการต่างๆ  ต้องการคนที่เรียนจบสาขาเหล่านี้


เรียนอาชีวะ  เรียนเทคนิค  สายอาชีพ  ดีไหม




ข้อดีของการเรียนอาชีวะ / สายอาชีพ

1)  ข้อดีของการเรียนสายอาชีพคือเป็นการเรียนที่มุ่งเน้นฝึกทักษะวิชาชีพที่ใช้ในการทำงานจริง  ทำให้มีความพร้อมในการทำงานสูงเมื่อเรียนจบ
2)  มีความยืดหยุ่นสูงเรื่องระยะเวลาเรียน  คือ  จบ  ปวช  ปวส  ก็สามารถหางานก่อนถ้ามีความต้องการเรียนต่ออีกครั้งก็สามารถกลับมาเรียนต่อระดับปริญญาได้เมื่อพร้อม   ส่วนอีกกรณีคือจบ ปวช  และต้องการเรียนต่อปริญญาตรีรวดเดียวเลยก็ทำได้     จะเห็นว่าตรงนี้เป็นข้อดีของการเรียนสายอาชีวะคือมีความยืดหยุ่นสูงและหลายคนก็อาจต้องการความยืดหยุ่นนี้
3)  มีความเจาะจงต่อตำเหน่งงานสูง    สายอาชีวะมีจุดประสงค์การเรียนการสอนเพื่อทำงานและตอบโจทย์ตำเหน่งงานที่เจาะจงและชัดเจนตั้งแต่แรก  ยกตัวอย่างเช่น เรียนช่างไฟก็เพื่อไปประกอบอาชีพเป็นช่างไฟและอาชีพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า   เช่น ทำกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า  การติดตั้งระบบไฟฟ้า   ดูแลระบบไฟฟ้า  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า   ทำงานสายเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับไฟฟ้า   นอกจากนี้หลักสูตรช่างไฟฟ้าระดับ   ปวช   ปวส   ก็ยังมีการเรียนวิชาสามัญเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการต่อในระดับปริญญาตรีอีกด้วย



ข้อควรรู้และควรพิจารณาก่อนเลือกเรียนสายอาชีวะ 

   การเรียนอาชีวะคาบเวลาเรียนส่วนใหญ่จะเป็นวิชาชีพเฉพาะทาง อีกทั้งความสนใจของผู้เรียนและบรรยากาศการเรียนการสอนของวิทยาลัยก็จะมุ่งเน้นสอนและฝึกทักษะวิชาชีพเป็นลำดับแรก   ส่วนวิชาสามัญ( เช่น คณิต ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษ )ก็จะมีการสอนโดยมีความเข้มข้นดีระดับหนึ่ง ( แต่ไม่เหมือนสาย ม. 6   เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาเรียนและบรรยากาศการเรียนด้วย ) มันเป็นธรรมชาติของการเรียนสายอาชีพที่จะเน้นเรียนและฝึกทักษะวิชาชีพเป็นหลัก   ส่วนวิชาสามัญอื่นๆจะมีการเรียนเท่าที่จำเป็นตามหลักสูตรกำหนด    ต่างจากสาย ม.6 จะมีคาบเวลาเรียนจำนวนมากและมุ่งเน้นเรียนวิชาสามัญอย่างเดียวแบบเข้มข้นทำให้มีความพร้อมสำหรับการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยสูงกว่า   โดยสาย ม. ุ6  จะได้บรรยากาศของการเรียนเพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัย ( แต่สาย ม.6 จะมีการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยที่สูงมากจากนักเรียน  ม.ปลายทั่วประเทศ นี้อาจเป็นข้อควรพิจารณาของสาย  ม.6 )   โดยปกติบางสาขาวิชาในมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรที่รับคนเรียนจบสายอาชีวะมาเรียนต่อโดยเฉพาะและแยกจากสาย ม.6 เพื่อปรับวิชาเรียนให้ครบตามหลักสูตรของสาขาวิชานั้นๆกำหนดไว้   คนเรียนสายอาชีวะก็สามารถวางแผนการเรียนต่อในระดับสูงได้เช่นกันโดยต้องมีการเตรียมตัวเพื่อสอบและสำรวจว่าเส้นทางสายอาชีพที่เลือกเรียนอยู่นั้นถ้าต้องการเรียนต่อระดับสูงขึ้นไปอีกต้องไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอะไร   มีหลักสูตรอะไรให้เรียนต่อบ้าง   การสำรวจเส้นทางการเรียนและเส้นทางอาชีพนี้ต้องทำตั้งแต่ตอนแรกๆที่เลือกเรียน     ปัญหาการเตรียมตัววิชาสามัญ(  คณิต ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษ )ให้พร้อมนี้ก็มีทางออกสำหรับสายอาชีวะ   ปัจจุบันมีหนังสือและคอร์สสอนออนไลน์จำนวนมากที่ติววิชา  ม.ต้น  ม.ปลายและติววิชาที่ใช้สอบวิศวะโดยเฉพาะ   คนที่สนใจก็สามารถเลือกเรียนเพิ่มเติมตามเวลาที่สะดวกเพื่อปูพื้นฐานวิชาสามัญให้แน่นและพร้อมสำหรับการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้ไม่ยากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน


สรุปการเรียนสายอาชีวะ / สายอาชีพมีข้อดีหลายข้อและข้อที่สำคัญคือมีความยืดหยุ่นสูงเรื่องระยะเวลาเรียน   การเรียนสายอาชีวะช่วยแก้ปัญหาคนเรียนปริญญาที่หลายสาขามีจำนวนคนเรียนมากเกินไป  ทำให้หางานทำยากเนื่องจากตลาดแรงงานไม่ได้ต้องการคนจบปริญญามากขนาดนั้น   กลับกันสาขาที่เปิดสอนในสถาบันอาชีวะส่วนใหญ่เป็นสาขาที่มีการจ้างงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม การค้าและการบริการที่ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ  การเรียนสายอาชีวะก็ไม่ได้มีข้อดีไปหมดมันมีข้อควรพิจารณาด้วยซึ่งบทความนี้ได้แนะนำแนวทางแก้ปัญหานี้ไว้เแล้ว  บางอาชีพการเรียนระดับ ปวช ปวส ก็เพียงพอสำหรับการประกอบอาชีพได้แล้วไม่ต้องเสียเวลาเรียน 4-5 ปีในมหาวิทยาลัย  อีกทั้งปัจจุบันมีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี   คนปัจจุบันนิยมเลือกเรียนตามความสนใจเฉพาะวิชาที่อยากเรียนและใช้เวลาเรียนไม่นานเกินไปด้วย


เลือกเรื่องถัดไปที่น่าสนใจอ่านต่อ  
เช่น  การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี  17 ตอน

เรียนช่างอะไรดี ระหว่างเรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดีไหม ตอนท้ายตอบคำถามการเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม

ตอบคำถามการเรียนช่างว่าจะเลือกเรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดี    มีรูปและตารางประกอบช่วยให้เข้าใจง่าย อยู่ด้านล่าง  ตอนท้ายสุดเป็นการตอบคำถามเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม   ข้อมูลที่อยู่ใบบทความนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง ผ่านการสมัครงาน  หางานและทำงานตามโรงงานมาก็หลายที่จนในที่สุดเมื่อหาประสบการณ์ในโลกกว้างเพียงพอแล้วปัจจุบันหันมาประกอบกิจการส่วนตัวเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียน   จึงนำประสบการณ์และข้อมูลมาแบ่งปัน    ข้อดีของการเรียนช่างคือสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้มาทำงานตามบริษัทต่างๆ    โรงงานอุตสากรรม    ประกอบกิจการส่วนตัว   รับงานพิเศษระหว่างเรียน   ทำงาน DIY    ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาในอนาคตเราก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม  Up Skill  ได้เนื่องจากมีทักษะช่างพื้นฐานเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว  สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อระดับสูงขึ้น ปัจจุบันก็มีมหาวิทยาลัยหลายที่เปิดสาขาให้เรียนต่อจนถึงระดับปริญญาตรี  โท  เอก  การเรียนช่างเป็นการนำความรู้+ทักษะไปใช้งานจริงและประยุกต์หลักการทางฟิสิกส์ / วิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ   ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานตามโรงงาน/บริษัทต่างๆแล้วก็ตามแต่ความรู้และทักษะช่างที่มีอยู่นั้นสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเยอะยกตัวอย่างเช่น ทำระบบ  Smart  Home   ,  Smart Farming   ใช้อุปกรณ์ IT   ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ     ดูแลระบบไฟฟ้าที่ผิดปกติให้บ้านตัวเอง  ให้เพื่อนบ้าน  ชุมชนและวัด  เป็นต้น และในอนาคตใกล้ๆนี้จะมีเรื่องรถไฟฟ้าและสิ่งที่เกียวข้องมาแน่นอน   พลังงานทดแทนแบบต่าง ๆ  ( เช่น โซลาร์เซลล์ )  อุปกรณ์   IOT  การสื่อสาร  5G  6G    เราก็จะเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้และอยู่ในแทรนด์นี้ได้ไม่ยาก


เรียนช่างอะไรดี


เรียนไฟฟ้ากำลัง หรือ  เรียนอิเล็กทรอนิกส์

วิเคราะห์เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดี    ?

       ไฟฟ้าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่สำคัญมากเราจะขาดไฟฟ้าไม่ได้เลย   ระบบไฟฟ้าทีมีอยู่ปัจจุบันนี้ก็ต้องการช่างไฟฟ้าและวิศวกรไฟฟ้ามาดูแลให้มันใช้งานได้ปกติและปลอดภัยตามหลักการและมาตฐาน   ถ้าจะออกแบบระบบไฟฟ้าใหม่ ต่อเติมไฟก็ต้องให้วิศกรไฟฟ้ามาออกแบบให้    ทุกโรงงาน  ทุกตึกขนาดใหญ่  ศูนย์การค้าต่างๆ  อาคารพาณิชย์และออฟฟิศ  ล้วนต้องการช่างไฟฟ้ามาดูแลระบบไฟฟ้าให้ทั้งสิ้น  ลักษณะงานของช่างไฟฟ้า   เช่น  ไฟฟ้าแสงสว่าง  ระบบไฟฟ้าสำรอง    ดูแลระบบแอร์   ตู้เย็น   ตู้แช่สินค้าต่างๆ   ลิฟท์   บันไดเลื่อน  ระบบดับเพลิง   ปั้มน้ำ  ระบบความปลอดภัยในอาคาร  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องกลไฟฟ้าต่างๆ   บางที่ช่างไฟฟ้าอาจต้องดูแลระบบประปาด้วย ดูแลระบบไฟฟ้ากำลังทั้งภายนอกอาคารและภายในอาคาร เพิ่มจุดเต้ารับเต้าเสียบ  ถ้าเป็นงานในโรงงานก็ดูแลระบบอัตโนมัติต่างๆที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนในไลน์การผลิต   ดูแลระบบไฟในสายพานการผลิต   โรงงานที่ทำเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า   เครื่องใช้ไฟฟ้า  บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ  ซอฟแวร์    ป้ายโฆษณา   นอกจากนี้สาขาไฟฟ้ากำลังยังไปเกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างและงานโยธาอีกทั้งภาครัฐและเอกชน    ดังนั้นปริมาณงานของสาขาไฟฟ้ากำลังจึงมีจำนวนงานมากโดยงานกระจายอยู่ทุกภาคอุตสาหกรรมทั้งโรงงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ  แม้กระทั้งตามบ้านเรือนทั่วไปต่างจังหวัดยังมีงานของไฟฟ้ากำลังให้ทำเยอะ   เรียนสาขาไฟฟ้ากำลังหางานง่ายเนื่องจากปริมาณงานในตลาดที่เยอะและงานแทรกอยู่ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

 

เรียนอาชีวะดีไหม เรียนช่างอะไรดี

สาขาไฟฟ้ากำลัง  งานเสาไฟฟ้าแรงดันต่ำและแรงดันสูงเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังจุดต่างๆ



เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์
                       ตัวอย่าง  วงจรอิเล็กทรอนิกส์


      สาขาอิเล็กทรอนิกส์เป็นการเรียนเกี่ยวกับการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาต่อใช้งานเป็นวงจรต่างๆ   ขอบเขตของงานอิเล็กทรอนิกส์ที่แตกต่างจากสาขาไฟฟ้ากำลังคือ  อิเล็กทรอนิกส์เน้นเรียนเกี่ยวกับระบบภาพ  ระบบเสียง การขยายสัญญาณ  การสื่อสาร  การใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์  การเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมฮาร์ดแวร์    ไฟฟ้าพื้นฐานช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็เรียนเหมือนกันกับช่างไฟฟ้ากำลังดังนั้นถ้าไฟฟ้าขัดข้องที่เป็นเรื่องไฟฟ้าพื้นฐานช่างอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถแก้ไขปัญหาทางไฟฟ้านี้ได้   ถ้าเป็นงานเมนไฟฟ้ากำลังที่เป็นงานนอกอาคาร เช่น  ปีนเสาไฟฟ้า ติดตั้งสายไฟนั้นเป็นงานเมนของช่างไฟฟ้ากำลัง งานระบบไฟแรงดันสูงแรงดันต่ำตามถนนต่างๆก็เป็นงานเมนของช่างไฟฟ้ากำลัง   ช่างอิเล็กทรอนิกส์เน้นเรียนและสามารถต่อยอดไปทาง  Smart  Home  , Smart  Farming เกษตรอัจฉริยะ  , อุปกรณ์ IOT ต่างๆ  Rasperi  Adrino  เทคโนโลยีเพื่อการเกษตรใหม่ๆ   โดรนเพื่อการเกษตร      เป็นต้น  จะต่อยอดไปทางซ่อมโทรศัพท์  อุปกรณ์ IT ต่างๆก็ต่อยอดได้ดีเช่นกัน  ระบบ AI    ซ่อมและดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ  อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ   สาขาอิเล็กรอนิกส์ต่อยอดไปซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์เทคโนโลยีได้ดี  งานช่างไฟฟ้ากำลังส่วนมากเป็นงานโปรเจครับเหมาทำเล่นไม่ค่อยได้    ส่วนงานอิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาทำเป็นงาน DIY  ต่างๆได้   เนื่องจากโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และจำนวนบริษัทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมและการสื่อสารในไทยค่อนข้างมีจำนวนจำกัดส่งผลให้งานของช่างอิเล็กทรอนิส์มีจำนวนจำกัดไปด้วย   ถ้าคนเรียนสาขาอิเล็กทรอนิกส์และอยากหางานง่ายให้เรียนเน้นหรือไปหาเรียนเสริมพวกวิชา  ไฟฟ้าคอนโทรล  PLC   เซนเซอร์  ซึ่งวิชาเหล่านี้โรงงานต้องการช่างที่มีทักษะด้านนี้เยอะเวลาทำงานที่หน้างานจริงๆเขาให้ดูแลเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติต่างๆมันจะมีงานปนกันทั้งงานส่วนที่เป็นงานไฟฟ้าคอนโครล และงานส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ช่างก็ต้องทำงานให้เป็นทั้งหมด  ถึงแม้โรงงานจะรับช่างเมนอิเล็กทรอนิกส์และเมนไฟฟ้ากำลังมาด้วยก็จริง  ถ้าเราทำงานได้หมดโอกาสหางานง่ายก็สูงขึ้นมาก อีกทั้งเรียนจบแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องหางานเลยเพราะเรามีทักษะช่างที่โรงงานต้องการอยู่แล้ว   จึงแนะนำคนเรียนสาขาอิเล็กทรอนิกส์ถ้าเรียนเน้นหรือไปหาเรียนเสริมวิชาไฟฟ้าคอนโทรล  PLC  เซนเซอร์แบบต่างๆ  ก็จะหางานทำตามโรงงานอุตสาหกรรมได้ง่ายเนื่องจากตำเหน่งงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้าคอนโทรล PLC  เซนเซอร์ มีตำเหน่งงานรองรับเยอะกว่างานวงจรอิเล็กทรอนิกส์มาก   ให้ดูรูปในตารางประกอบสาขาไฟฟ้ากำลังจะเน้นวิชาเมนของไฟฟ้ากำลัง  สาขาอิเล็กทรอนิกส์จะเน้นเรียนวิชาเมนของอิเล็กทรอนิกส์  ส่วนช่องตรงกลางสามารถเรียนได้ทั้งสาขาไฟฟ้ากำลังหรืออิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากเป็นวิชาต่อยอดจากวิชาพื้นฐาน     นอกจากนี้ยังมีสาขาวิชาใหม่ๆที่เน้นเรียนเฉพาะด้านไปอีก เช่น สาขาวิชาระบบวัดคุม สาขาวิชาแมคคาทรอนิกส์ เป็นต้น

ให้เช็คความชอบความถนัดของตัวเอง   เทรนด์ของเทคโนโลยี   และปริมาณตำเหน่งงานในตลาด  รวมถึงงานที่อยากทำจริงๆเพื่อประกอบเป็นอาชีพในอนาคตด้วยมาเป็นเกณฑ์ในการเลือกสาขาที่จะเรียน  

 


ตอบคำถามการเรียนช่าง :  เรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยากไหม   ?

คำตอบคือไม่ยากเกินไปและก็ไม่ง่าย  คิดว่าคนส่วนมากสามารถเรียนได้และก็สามารถเช็คตัวเองตอนนี้ได้เลยว่าชอบและเหมาะที่จะเรียนช่างไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ไหม  ?  การเรียนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระดับ ปวช ปวส  ป.ตรีหรือวิศวะ  ต้องมีการนวณหาค่ากระแส แรงดัน ความต้านทาน  แก้สมการต่างๆ  เพื่อหาค่าของอุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องใช้ในวงจร   ให้เช็คตัวเองว่าวิชาคณิต ฟิสิกส์และภาษาอังกฤษเรียนได้ดีระดับหนึ่งไหม  ?    การเรียนช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นั้นคณิตศาสตร์ต้องดีระดับหนึ่ง วิทยาศาสตร์ต้องดีระดับหนึ่งโดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์เพราะเป็นพื้นฐานของช่างหรือวิศวะทุกสาขา ภาษาอังกฤษต้องใช้ในการอ่านตำราภาษาอังกฤษด้วยเพราะสาขาเทคโนโลยีต่างๆจะอ่านเพียงตำราภาษาไทยนั้นมันไม่เพียงพอ ตอนทำงานต้องอ่านคู่มือการทำงานของเครื่องซึ่งเป็นภาษาอังกฤษและอ่านสเปคของอุปกรณ์ต่างๆก็เป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน  หลายครั้งการทำงานจริงๆต้องติดต่อกับต่างประเทศ ถ้าได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติภาษาอังกฤษก็ยิ่งจำเป็นและสำคัญมากขึ้นไปอีก    


เรียนช่างอะไรดี  เรียนไฟฟ้ากำลังหรือเรียนอิเล็กทรอนิกส์

น้องๆที่เรียนระดับมัธยมปลายมีการเรียนวิชาฟิสิกส์ก็จะมีบทที่เป็นเรื่องไฟฟ้าอยู่หลายบทเรียนตรงนั้นให้แน่นและเรียนให้เข้าใจเพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก  สำหรับน้องๆที่เรียน ม.ต้น ก็ให้เน้นคณิตและวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจเพราะนอกจากจะใช้เรียนต่อ ม.ปลายแล้วถ้าเรามีพืนฐานดีตั้งแต่ตอน ม.ต้นนี้ อนาคตเราก็จะเรียนได้ดีเพราะจากการสังเกตหลายๆวิชาที่เรียน มันจะเป็นวิชาต่อเนื่องกันถ้าเรียนวิชาพื้นฐานให้เข้าใจดีตั้งแต่เทอมแรกปีแรก การเรียนวิชาต่อเนื่องก็จะง่ายไปด้วย  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเรียนเข้าใจเรื่องตรีโกณมิติดีก็จะทำให้เราเรียนวิชาไฟฟ้ากระแสสลับเข้าใจง่ายไปด้วยเนื่องจากในวิชาไฟฟ้ากระแสสลับจะมีเรื่องมุมเฟสทางไฟฟ้าและนำเรื่องมุมต่างๆนี้ไปแก้สมการทางไฟฟ้ากระแสสลับเยอะมาก  ถ้าเราเรียนเข้าใจเรื่องการแก้สมการในวิชาคณิตจะทำให้เราเรียนวิชาไฟฟ้ากระแสตรงหาค่าตัวแปรทางไฟฟ้าต่างๆ เช่น  V   I   R   เมื่อเรียนเข้าใจก็จะรู้สึกสนุกกับมันในการเรียนรู้บทต่อๆไป     สำหรับการเรียนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในระดับ  ป.ตรีนั้นจะมีวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง  การแก้สมการทางไฟฟ้าและวิเคราะห์วงจรไฟฟ้านั้นก็จะใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูง   แต่ไม่ต้องกังวลเพราะถ้าวิชาพื้นฐานเราดีระดับหนึ่งบวกกับตอนเรียนเราก็ตั้งใจเรียนมันจะช่วยเสริมกันให้เรียนได้ดีแน่นอน 


เลือกเรื่องถัดไปที่น่าสนใจ   อ่านต่อ  

เช่น  การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี  17 ตอน


อาการเสียวงจรหลอดไฟให้แสงสว่างตามบ้าน แนวทางแก้ หลอดไฟติดๆ ดับๆ หลอดไฟกระพริบ หลอดไฟไม่ติด หลอดไฟไม่สว่าง บัลลาสต์มีเสียงคราง

หลอดไฟที่นิยมใช้ตามบ้านคือหลอดฟลูออเรสเซนต์เนื่องจากประหยัดไฟและราคาไม่แพงมาก ขณะเดียวกันให้ประสิทธิภาพแสงสว่างที่ดี   วงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ประกอบด้วยส่วนหลักๆคือ หลอดฟลูออเรสเซนต์  สตาร์ทเตอร์  และ  บัลลาสต์  เวลาวงจรหลอดไฟเสียเราก็ต้องมาเช็คส่วนประกอบที่สำคัญเหล่านี้   อาการเสียของวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์คือ  หลอดไฟติดๆ ดับๆ  หรือ หลอดไฟกระพริบ   หลอดไฟไม่ติด  หลอดไฟไม่สว่าง  หลอดสว่างแล้วดับ  หลอดมีแสงสลัว   บัลลาสต์มีเสียงคราง  เป็นต้น  ก่อนเช็คหรือซ่อมมารู้จักวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ก่อน เพื่อใช้วงจรนี้ไล่เช็คอาการเสียต่างๆเป็นลำดับขั้นตอน


หลอดฟลูออเรสเซนต์  ຫລອດໄຟ
วงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์  ຫລອດໄຟ   หลอดฟลูออเรสเซนต์
                              วงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์  เป็นวงจรหลอดไฟที่นิยมใช้ตามบ้าน



อาการเสียวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ให้แสงสว่างตามบ้าน  และ แนวทางแก้

1)     หลอดไฟไม่ติด  หรือ  หลอดไฟไม่สว่าง  
อาการ :   เปิดสวิตช์แล้วหลอดไฟไม่สว่าง  สาเหตุที่เป็นไปได้มีหลายอย่าง ให้ไล่เช็คเป็นลำดับดังนี้ ให้เช็คอะไร ?   ก็เช็คอุปกรณ์หลักๆที่อยู่ในวงจรหลอดไฟตามรูปด้านบน
-  ไฟมาหรือยัง  ?   ไล่เช็คเส้นทางของไฟ  ให้เช็คไฟที่บัลลาสต์ว่ามีไฟมาหรือยัง   สายไฟอาจขาด จุดต่อต่างๆขั้วหลอดอาจหลวม   ไล่ไฟกลับไฟยังสวิตช์เปิดปิดมีหลายครั้งหน้าสัมผัสของสวิตช์เสีย

หลอดฟลูออเรสเซนต์

หลอดฟลูออเรสเซนต์
                                 ใช้ไขควงเช็คไฟวัดไฟที่ขั้วต่อบัลลาสต์ว่ามีไฟมาหรือยัง   ?


-  หลอดไฟขาดหรือไม่   ?    วิธีเช็คหลอดไฟว่าขาดหรือไม่ ใช้มัลติมิเตอร์ตั้งย่านวัดโอห์มวัดไส้หลอดถ้าหลอดยังดีต้องมีค่าความต้านทานขึ้นตามรูป  ถ้าหลอดขาดจะไม่ขึ้นค่าความต้านทานเลย  อีกวิธีให้นำหลอดไฟที่สงสัยว่าจะเสียไปต่อกับวงจรหลอดไฟจุดอื่นๆในบ้านที่สว่างปกติ ถ้าต่อทดสอบกับจุดอื่นแล้วหลอดไฟไม่สว่างแสดงว่าหลอดไฟเสียแล้ว ถ้าหลอดไฟยังสว่างแสดงว่าหลอดไฟยังดีอยู่  ให้ไล่เช็คอุปกรณ์ตัวอื่นๆต่อ

อาการเสียวงจรหลอดไฟ   ຫລອດໄຟ   หลอดไฟ
                                                         เช็คไส้หลอด ถ้าไม่ขาดจะมีค่าความต้านทาน


-  บัลลาสต์ขาดหรือไม่  ?   วิธีเช็คบัลลาสต์ สามารถเช็คได้ตอนมีไฟ และเช็คตอนไม่มีไฟ    วิธีเช็คบัลลาสต์ตอนมีไฟคือหลังจากเปิดสวิตช์แล้วต้องมีไฟที่ขั้วบัลลาสต์ทั้งเส้นไฟเข้าและเส้นไฟออก ลักษณะบัลลาสต์ก็เหมือนขดลวดไฟเข้ามาแล้วต้องผ่านออกไปยังหลอดไฟได้   ถ้าไม่มีไฟขั้วไฟออกแสดงว่าขดลวดขาด    วิธีเช็คบัลลาสต์ตอนไม่มีไฟคือให้ปิดสวิตช์และถอดสายไฟออกจากบัลลาสต์ 1 เส้นแล้ววัดค่าความต้านทานของขดลวดถ้าขดลวดไม่ขาดจะขึ้นค่าความต้านทาน   อีกอาการเสียของบัลลาสต์คือขดลวดช๊อตกันถ้าใช้มัลติมิตเตอร์วัดแล้วจะได้ค่าความต้านทานต่ำมาก ปกติแล้วถ้าบัลลาสต์ดีจะมีค่าความต้านทาน 30-100 โอห์มขึ้นอยู่กับขนาดวัตต์ของบัลลาสต์

                                                 วิธีเช็คบัลลาสต์ เช็คตอนมีไฟใช้ไขควงวัดไฟ

อาการเสียวงจรหลอดไฟ   วิธีเช็คบัลลาสต์

               วิธีเช็คบัลลาสต์ตอนไม่มีไฟ คือปิดสวิตช์ปลดสายออก 1 เส้น  แล้ววัดค่าความต้านทาน
               บัลลาสต์ดีจะมีค่าความต้านทาน 30-100 โอห์ม   ขึ้นอยู่กับขนาดวัตต์ของบัลลาสต์
               ขาด- วัดแล้วไม่ขึ้นค่าความต้านทานเลย   ช๊อต-วัดแล้วได้ค่าความต้านทานต่ำมาก


-  สตาร์ทเตอร์เสียหรือไม่   ?   วิธีเช็คสตาร์ทเตอร์คือให้นำสตาร์ทเตอร์ตัวที่สงสัยว่าจะเสียไปทดสอบกับวงจรหลอดไฟจุดอื่นๆในบ้านที่ยังสว่างปกติ  ถ้าต่อทดสอบกับจุดอื่นแล้วหลอดไฟสว่างปกติแสดงว่าสตาร์ทเตอร์ไม่เสีย  

วิธีเช็คสตาร์ทเตอร์
              นำสตาร์ทเตอร์ตัวที่สงสัยว่าจะเสียไปทดสอบกับวงจรหลอดไฟจุดอื่นๆที่ยังสว่างปกติ


2)     หลอดไฟกระพริบ   หลอดไฟดับๆติดๆ 
สาเหตุที่เป็นไปได้  :   
-   สตาร์ทเตอร์เสีย  ?   บัลลาสต์เสีย   ?   ให้เช็คตามวิธีการในข้อ 1) ด้านบน
-   ไฟตกหรือไม่   ?  ให้ใช้มัลติมิเตอร์เช็ควัดแรงดันไฟฟ้าว่าได้ประมาณ  220VAC ไหม   ?
-   หลอดไฟเสื่อมสภาพใกล้เสีย   สังเกตที่บริเวณใกล้ขั้วหลวดจะมีสีดำชัดเจน  ให้นำหลอดไฟตัวที่สงสัยว่าจะเสียไปทดสอบที่วงจรหลอดไฟจุดอื่นๆ  
-   ขั้วหลอดเสีย   กระแสไฟฟ้าไหลไม่สะดวก ให้ลองทำความสะอาดแล้วปรับให้มันยึดขั้วหลอดไฟให้แน่น

3)   หลอดไฟมีแสงสลัว   มีคราบฝุ่นต่างๆติดที่ตัวหลอดไฟ    ให้ทำความสะอาดหลอดไฟ
4)   บัลลาสต์มีเสียงคราง 
สาเหตุที่เป็นไปได้  :  
-  ยึดบัลลาสต์ไม่แน่น ให้ขันน๊อตให้แน่น
- ใช้ขนาดวัตต์ของบัลลาสต์ไม่เหมาะกับขนาดวัตต์ของหลอดไฟ   ให้เลือกใช้ให้เหมาะสม
-  บัลลาสต์เสื่อมสภาพ ใช้ไปนานๆแกนเหล็กข้างในมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป   ให้เปลี่ยนบัลลาสต์



เลือกหัวข้อต่อไปนี้   เพื่อ    อ่านต่อ    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี   17  ตอน

สอนใช้งาน Multi-function Tester เครื่องวัด LCR TC1 วัด R L C ไดโอด ซีเนอร์ ทรานซิสเตอร์ SCR มอสเฟต ไตรแอค และอื่นๆ

เครื่องวัด  LCR  TC1  วัด R L C  ไดโอด ซีเนอร์  ทรานซิสเตอร์  SCR มอสเฟต ไตรแอค

 

Electronic  Components   Tester

แนะนำการใช้งาน  Multi-function Tester  เครื่องนี้สามารถวัดอุปกรณ์ได้หลายอย่างมากสมกับคำว่า Multi-Function  Tester   จุดเด่นที่สำคัญคือใช้งานง่าย.....แต่ก่อนใช้งานต้องรู้วิธีการวัดก่อนรวมถึงรู้ความสามารถและข้อจำกัดของเครื่องวัดนี้     อ่านให้ครบทุกข้อ 1-5 จนจบเพื่อจะได้ข้อมูลครบถ้วนและไม่พลาดข้อมูลที่สำคัญแล้วจะเข้าใจการใช้งานมากยิ่งขึ้น   เครื่องนี้สามารถวัดอุปกรณ์พื้นฐานในแผงวงจรครอบคลุมอุปกรณ์ส่วนมากที่นิยมใช้งาน   เช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ  ตัวเหนี่ยวนำ  ไดโอด ซีเนอร์ไดโอด  LED  เอสซีอาร์  ไตรแอค ไอจีบีที  มอสเฟต  เป็นต้น เป็นเครื่องวัดที่ช่างควรมีไว้ประจำโต๊ะซ่อมนอกจากมัลติมิเตอร์แบบเข็มและมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล ประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องทราบมี 5 ข้อดังนี้

1.  Socket และ  การเสียบขาอุปกรณ์

2.  การตีความหมายผลการวัด ดี / เสีย

3.  ข้อจำกัดในการวัดอุปกรณ์ของเครื่อง Multi-function Tester 

4.  ขอบเขตที่ควรใช้งาน

5.  การคาลิเบรต หรือ การทดสอบเครื่อง (  Self Test )


เครื่องวัด  LCR  TC1  วัด R L C  ไดโอด ซีเนอร์  ทรานซิสเตอร์  SCR มอสเฟต ไตรแอค
   รูปแรก   แบบใช้แบต 9V ราคาถูกกว่าแต่ต้องประกอบเครื่องเอง  
   รูปที่ 2   Multi-Function Tester  TC1 แบบชาร์ตไฟได้เหมือนชาร์จโทรศัพท์เลย น่าใช้มากกว่าแบบแรก
   แนะนำรุ่น TC1 แบบชาร์จได้เนื่องจากมีความสามารถในการวัดมากกว่า


                         สายวัดเสริมที่แถมมากับ  Multi-Function Tester   TC1  แบบชาร์ตไฟได้


                            แบบใช้แบต 9V สามารถหาปากคีบลักษณะคล้ายตามรูปนี้มาทำสายวัด


1.  Socket  และ การเสียบขาอุปกรณ์   แบบใช้ถ่าน 9V กับแบบชาร์ตไฟได้ มีตำเหน่งช่องเสียบที่แตกต่างกันโดยแบบใช้ถ่าน 9V จะระบุตำเหน่งช่องเป็น  12311111  โดยตรงที่ชื่อตำเหน่ง   11111 จะต่อถึงกันหมด   ขณะที่แบบชาร์ตไฟได้จะระบุชื่อตำเหน่งช่อง  KAA1233  ช่องที่มีชื่อตำเหน่งเหมือนกันจะต่อถึงกัน

การเสียบขาอุปกรณ์  

อุปกรณ์ที่มี  2 ขา------------>  ให้เสียบช่อง 1 กับ 2 ,   2 กับ 3 ,  1 กับ 3  คู่ช่องใดก็ได้ตามที่เสียบได้สะดวก  

อุปกรณ์ที่มี  3 ขา------------>  ให้เสียบช่อง  123

การวัดซีเนอร์ไดโอดสำหรับรุ่น  TC1  ช่อง A ให้เสียบขาแอโนด ช่อง K ให้เสียบขาคาโทดตามสเปคบอกว่ารุ่น TC1 สามารถวัดแรงดันซีเนอร์ไดโอด  0.01-30V

แถบวัดอุปกรณ์ SMD ใช้วัดอุปกรณ์ SMD ที่ไม่รู้จักว่าเป็นตัวอะไร ?   วัดเพื่อให้รู้ว่าเป็นทรานซิสเตอร์  ไดโอด ตัวต้านทาน SMD  คาปาซิเตอร์ SMD  หรืออุปกรณ์ๆ  และวัดเพื่อให้รู้ว่าดีหรือเสีย    


เครื่องวัด  LCR  TC1  วัด R L C  ไดโอด ซีเนอร์  ทรานซิสเตอร์  SCR มอสเฟต ไตรแอค
                                                   ชื่อตำเหน่ง 1  จะต่อถึงกันหมด

           ตำเหน่งวัดอุปกรณ์ SMD ที่ไม่รู้จักวัดว่าเป็นตัวอะไร   และ วัดเพื่อให้รู้ว่าดีหรือเสีย


เครื่องวัด  LCR  TC1  วัด R L C  ไดโอด ซีเนอร์  ทรานซิสเตอร์  SCR มอสเฟต ไตรแอค
             ช่อง KAA  ใช้วัดซีเนอร์ไดโอด  ช่อง A ให้เสียบขาแอโนด  ช่อง K ให้เสียบขาคาโทด


2. การตีความหมายผลการวัด ดี/เสีย   หลักการก็คือต้องรู้จักชื่ออุปกรณ์ และสเปคที่สำคัญของมัน ถ้าอุปกรณ์ปกติหน้าจอจะแสดงชื่ออุปกรณ์พร้อมสเปคที่สำคัญ หรือบางกรณีบอกกลุ่มของอุปกรณ์แทนเช่นวัดซีเนอร์ไดโอด วัด LED  เครื่องวัดจะบอกว่าเป็นไดโอด  ให้อ่านข้อ 3เพิ่มเรื่อง ข้อจำกัดในการวัดอุปกรณ์ของเครื่อง Multi-Function Tester    ตัวอย่างเบอร์อุปกรณ์สามารถบอกชนิดอุปกรณ์ได้

2SAXXX    เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด  PNP   ใช้งานย่านความถี่สูง

2SBXXX    เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด  PNP   ใช้งานย่านความถี่ต่ำ

2SCXXX    เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด  NPN   ใช้งานย่านความถี่สูง

2SDXXX    เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด  NPN   ใช้งานย่านความถี่ต่ำ

2SJXXX     เป็น  FET   P   แชนแนล

2SKXXX    เป็น  FET   N  แชนแนล

2NXXX      เป็นทรานซิสเตอร์  

IRFXXX     เป็นมอสเฟต

MJEXXX    เป็นทรานซิสเตอร์จานบิน   ( TO-3 )

BTAXXX    เป็นไตรแอค

TMGXXX   เป็นไตรแอค


2.1   วัดตัวต้านทาน  ถ้าตัวต้านทานดีจะแสดงชื่อเป็น Resistor   พร้อมค่าความต้านทาน

Test   resistor  with  multimeter
                                                       ตัวต้านทาน  22 โอห์ม วัดได้   22  โอห์ม

Test   resistor   with   multimeter
                      ตัวต้านทาน  33 โอห์ม วัดได้   33.4  โอห์ม  ถือว่า R  สภาพดี  เพราะได้ค่าใกล้เคียง

Test  resistor  with  multimeter
                         ตัวต้านทาน  82  โอห์ม วัดได้   80.5   โอห์ม  ถือว่า R  สภาพดี เพราะได้ค่าใกล้เคียง

วัดตัวต้านทาน  Test  resistor  with  multimeter
                  ตัวต้านทาน  1000  โอห์ม วัดได้  986.0   โอห์ม  ถือว่า R  สภาพดี เพราะได้ค่าใกล้เคียง


วัดตัวต้านทาน
                                วัด VR ลองหมุนถ้าค่าเปลี่ยนตามการหมุนคือดี เอา 2 ค่ารวมกัน = 2K Ohm

2.2   วัดตัวเก็บประจุ ถ้าตัวเก็บประจุดีหน้าจอจะแสดงชื่อุปกรณ์เป็น Capacitor พร้อมค่าความจุ ให้คายประจุหรือดิสชาร์จก่อนวัดตัวเก็บประจุทุกครั้ง

วัดตัวเก็บประจุ   วัดคาปาซิเตอร์
      ตัวเก็บประจุค่า  22UF  พิมพ์ไว้ที่ตัวสินค้าวัดได้  21.57UF   ถือว่า C  สภาพดี เพราะได้ค่าใกล้เคียง


2.3  วัดไดโอด  ซีเนอร์ไดโอด  LED  ถ้าอุปกรณ์สภาพดีหน้าจอจะแสดงชื่อเป็นไดโอดเนื่องจากเป็นอุปกรณ์ในกลุ่มเดียวกัน พร้อมแสดงแรงดันตกคร่อมไดโอด ( Vf)  เครื่องวัดรุ่นใช้แบต 9V จะแสดง ซีเนอร์ไดโอดเป็นไดโอดแทน   ส่วนเครื่องวัดรุ่น TC1 แบบชาร์ตไฟได้จะมีช่องวัดซีเนอร์ไดโอดโดยเฉพาะคือช่อง KAA ให้เสียบขาอาโนดที่ช่อง A และคาโทดที่ช่อง K

วัดไดโอด   ซีเนอร์ไดโอด   LED
     วัดไดโอดเสียบช่อง 123 ตำเหน่งช่องเสียบต้องไม่ต่อถึงกัน เช่น 1 กับ 2  ได้  2 กับ 3 ได้  1 กับ 3 ได้


เครื่องวัด  LCR  TC1  วัด R L C  ไดโอด ซีเนอร์  ทรานซิสเตอร์  SCR มอสเฟต ไตรแอค
                           วัด LED เครื่องจะแสดงเป็นไดโอดแทน LED จะสว่างและกระพริบเล็กน้อย


Test    diode   with   multimeter  วัดไดโอด  2 ขา
                                                            วัดไดโอด  2 ขา  (  Diode  2  pin )


วัดไดโอด  3  ขา
                                                   วัดไดโอด  3  ขา   ( Diode  3 pin  )


Test   zener   diode   with   multimeter
  รุ่นนี้มีช่องสำหรับวัดซีเนอร์ไดโอดโดยเฉพาะ  ให้เสียบอาโนดที่ช่อง A ขาคาโทดที่ช่อง K
  ถ้านำไปเสียบช่องอื่นๆ เครื่องจะแสดงเป็นไดโอดธรรมดาแทน


Test    diode   with   multimeter
                      รุ่นราคาถูกแบบใช้ถ่าน 9V  เมื่อวัดซีเนอร์ไดโอด จะแสดงผลเป็นไดโอดแทน



2.4  วัดวาริสเตอร์    ถ้าวาริสเตอร์สภาพดีจะแสดงเป็นคาปาซิเตอร์แทน เนื่องจากวาริสเตอร์ปกติ 2 ขาจะไม่ต่อถึงกันวัดด้วยโอห์มมิเตอร์เข็มก็ไม่ขึ้นสักครั้ง  ให้สังเกตสภาพของวาริสเตอร์ด้วยว่าอยู่ในสภาพดีไม่มีรอยไหม้

electronic components tester   Multi function test  meter TC1 use

                                       วัดวาริสเตอร์  Varistor    ถ้าวาริสเตอร์สภาพดีจะแสดงเป็นคาปาซิเตอร์แทน


2.5  วัดทรานซิสเตอร์ ให้เสียบช่อง 123   ถ้าอุปกรณ์สภาพดีจะแสดงชื่อเป็น   Transistor  พร้อมระบุชนิดว่าเป็นชนิด NPN หรือ PNP และบอกอัตราขยายของทรานซิสเตอร์ (hFE) ด้วย  ถ้าทรานซิสเตอร์สภาพดีไม่ซ๊อตไม่ขาดต้องมีอัตราขยาย    ปกติอัตราขยายของทรานซิสเตอร์จะมีปริมาณ   หลายเท่า -  หลายร้อยเท่า

วัดทรานซิสเตอร์   Test  transistor
                            ทรานซิสเตอร์มีอัตราขยาย  ( hFE )  = 216 เท่า  แสดงว่าไม่ขาด ไม่ซ๊อต


Test    Transistor    with   multimeter   วัดทรานซิสเตอร์
                 ทรานซิสเตอร์มีอัตราขยาย  ( hFE )  = 279  เท่า  แสดงว่าไม่ขาด ไม่ซ๊อต


Test    Transistor    with   multimeter

Test    Transistor    with   multimeter
             วัดทรานซิสเตอร์  ถ้าอุปกรณ์สภาพดีจะแสดงชื่อเป็น   Transistor  
             พร้อมระบุชนิดว่าเป็นชนิด NPN หรือ PNP และบอกอัตราขยายของทรานซิสเตอร์ (hFE) 



Test    Transistor     with   multimeter
                         วัดทรานซิสเตอร์จานบิน ถ้าทรานซิสเตอร์ดีจะมีอัตราขยาย  ( hFE )

2.6  วัดมอสเฟตให้เสียบช่อง 123  ถ้าอุปกรณ์สภาพดีจะแสดงชนิดมอสเฟตว่าเป็นชนิด  P แชนแนลหรือ N แชนแนลพร้อมแสดงแรงดันทริกขา G   ( Vt)

วัดมอสเฟต
    MOSFT  Test 

2.7  วัดอุปกรณ์กลุ่มไทริสเตอร์ เช่น   SCR  ไตรแอค  ให้เสียบช่อง  123  ถ้าอุปกรณ์สภาพดีจะแสดงหน้าจอตามรูปด้านล่าง

Test    SCR    with   multimeter
                         วัด  SCR  หน้าจอจะแสดงเป็น Thyristor พร้อมสัญลักษณ์ของ SCR


Test   triac   with  multimeter
                          วัดไตรแอค หน้าจอจะแสดงเป็น  Triac  พร้อมสัญลักษณ์ของไตรแอค


3.   ข้อจำกัดในการวัดอุปกรณ์   เครื่องวัดนี้เหมาะสำหรับการวัดอุปกรณ์ขนาดเล็ก ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อวัดอุปกรณ์ขนาดใหญ่  เนื่องจากกระแสที่จ่ายออกจากเครื่องวัดเพื่อทดสอบอุปกรณ์มีปริมาณน้อยเวลาวัดอุปกรณ์พวกไทริสเตอร์บางเบอร์ ( ตัวใหญ่)  เช่น SCR ไตรแอค กระแสทริกมีปริมาณไม่พอที่จะทริกให้มันทำงาน เครื่องวัดจะไม่รู้จักอุปกรณ์เบอร์นั้น  ๆ  ( Triac Range: IGT < 6mA )  ไตรแอคบางเบอร์เครื่องวัดจะมองเป็นตัวต้านทานแทน   ทรานซิสเตอร์บางเบอร์เครื่องวัดจะมองเป็นไดโอดแทน   ไอจีบีทีบางเบอร์เครื่องวัดจะมองเห็นเป็นคาปาซิเตอร์แทน   สำหรับอุปกรณ์ตัวใหญ่มักจะเสียในลักษณะขาด และซ๊อต ให้ใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มย่านวัด   Rx1 หรือ Rx10 วัดยืนยันการขาดและการซ๊อตอีกครั้ง  ประเด็นสำคัญที่เครื่องวัด  Multi-function Tester ยังแสดงว่าเป็นไดโอด ตัวต้านทาน หรือ คาปาซิเตอร์ก็บอกทางอ้อมได้ว่าอุปกรณ์ที่วัดไม่ได้ขาดหรือซ๊อต


วัดทรานซิสเตอร์ฮอร์   Transistor Hor  Out  test
   วัดทรานซิสเตอร์ฮอร์เอ้ามีไดโอดอยู่ข้างใน ( Transistor Hor ) เครื่องวัดมองเป็นไดโอด 2 ตัว
   ทรานซิสเตอร์ที่วัดสาธิตเป็นของใหม่และสภาพดี

electronic components tester   วัดทรานซิสเตอร์ฮอร์เอ้า
  วัดทรานซิสเตอร์ฮอร์เอ้ามีไดโอดอยู่ข้างใน ( Transistor Hor ) เครื่องวัดมองเป็นไดโอด 2 ตัว
   ทรานซิสเตอร์ที่วัดสาธิตเป็นของใหม่และสภาพดี


Test  IGBT  with  multimeter
   วัด IGBT  ไอจีบีทีตัวใหญ่ เครื่องมองเป็นคาปาซิเตอร์ตรงขาเกต ( G )  เนื่องจากขาเกตจะมีฉนวนคั่นไว้ไม่ได้ต่อ อยู่กับส่วนอื่นๆมีอินพุตโมเดลเป็นคาปาซิเตอร์    ขา G คือขา 1 และขา  C กับ E คือขา 2 และ 3 ตามลำดับไอจีบีทีเบอร์นี้มีไดโอดคร่อมอยู่ที่ขา C-E     ตัวที่วัดเป็นตัวอย่างนี้สภาพดีอยู่


Test  IGBT  with  multimeter
    วัด  IGBT ไอจีบีทีตัวใหญ่ ด้วยเครื่องวัดรุ่นใช้แบต 9V   เครื่องวัดมองเป็นมอสเฟต เนื่องจากเครื่องใช้ซอฟแวร์คนละรุ่น  เนื่องจากขาเกตของไอจีบีทีและมอสเฟตมีฉนวนคั่นไว้ไม่ได้ต่ออยู่กับขาอื่นๆ จึงมีอินพุตโมเดลเป็นคาปาซิเตอร์   ตัวที่วัดเป็นตัวอย่างนี้สภาพดีอยู่


Test  IGBT  with  multimeter
 
วัด  IGBT ไอจีบีทีตัวใหญ่เบอร์นี้ไม่มีไดโอดคร่อมขา C-E   วัดด้วยเครื่องวัดรุ่นใช้แบต 9V   เครื่องวัดมองเป็นคาปาซิเตอร์  เนื่องจากขาเกตของไอจีบีทีและมอสเฟตมีฉนวนคั่นไว้ไม่ได้ต่ออยู่กับขาอื่นๆจึงมีอินพุตโมเดลเป็นคาปาซิเตอร์   ขา 1 คือขาเกต ถ้ามีไดโอดต่ออยู่ระหว่างขา C-E เครื่องจะวัดเจอ   ตัวที่วัดเป็นตัวอย่างนี้ IGBT  สภาพใหม่และดีอยู่



electronic components tester   test Triac
   วัดไตรแอคเครื่องวัดมองเป็นตัวต้านทานแทน   ตาม Datasheet  ขาเรียง  A1   A2   G  ตัวที่วัดเป็นตัวอย่างนี้สภาพดีอยู่  ปกติแล้วไตรแอคถ้าใช้มัลติเตอร์แบบเข็มวัด  เข็มจะวัดขึ้น 2 ครั้งคือขา G กับขา A1  และขา G กับขา A2   


Test  triac with multimeter
    วัดไตรแอคเครื่องทำน้ำอุ่นถ้าอุปกรณ์สภาพดีจะแสดงเป็นตัวต้านทาน 2 ตัวตามรูป  เครื่องวัดไม่มีกระแส
พอที่จะทริกขาเกตให้มันทำงาน เครื่องวัดจึงมองไตรแอคเป็นตัวต้านทานแทน


Test  triac with multimeter

วัดไตรแอคเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยเครื่องวัดรุ่นราคาถูกนี้ไม่สามารถแสดงว่าความต้านทานสูงๆระดับ  45Mega Ohm ได้จึงแสดงได้เฉพาะความต้านทานระหว่างขา G กับขา A1   ( ขา 1 กับขา 2 )  ไตรแอคที่วัดสาธิตเป็นตัวใหม่และสภาพดีอยู่ จะเห็นว่าเครื่องวัดรุ่น TC1 แบบชาร์ตไฟได้ มีความสามารถมากกว่า



4. ขอบเขตที่ควรใช้งาน   เครื่องวัด  Multi-function Tester   มีผลการวัดถูกต้องระดับหนึ่งเหมาะสำหรับใช้กับงานซ่อมทั่วไป    งาน DIY   และ งานทดลองในการศึกษาเรียนรู้  สำหรับงานที่เน้นผลการวัดถูกต้องสูงเช่นงานอุตสาหกรรม งานวิจัยระดับห้องแลปให้ใช้เครื่องมือวัดที่มีค่าการวัดถูกต้องและเที่ยงตรงสูงจากยี่ห้อชั้นนำ   สำคัญมากก่อนวัดคาปาซิเตอร์ต้องคายประจุหรือดิสชาร์ตก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่คายประจุทำให้เครื่องเสียหายและผลการวัดเพื้ยนได้

สเปคและขอบเขตการวัดของเครื่อง   Multi-function Tester  TC1    แบบชาร์ตไฟได้

ตัวต้านทาน : 0.01 - 50M Ohm    
ตัวเก็บประจุ : 25pF - 100mF 
ตัวเหนี่ยวนำ : 0.01mH - 20H
แรงดันไดโอด:   <  4.5V   
ซีเนอร์ไดโอดช่วงที่วัดได้ : 0.01 - 30V   ให้เสียบช่อง KAA
Transistor Detect Area :  0.01  -  4.5V    
Triac Range: IGT  <  6mA   


5. การคาลิเบรต หรือการทดสอบเครื่องวัด  เมื่อใช้ไปสักระยะเครื่องวัดเพื้ยน     ให้คาลิเบรต หรือ ตามคู่มือบอกว่าให้ทำ  Self Test  เป็นปกติของเครื่องมือวัดทุกชนิดที่ต้องทดสอบตามระยะเวลาที่กำหนดว่าให้ผลการวัดถูกต้องและเทียงตรงอยู่หรือไม่   เสียบโลหะซ๊อตขาช่อง 123  แล้วกดปุ่ม


                                                ตอนนี้เครื่องบอกให้เอาโลหะซ๊อตขาออก





                                     เมื่อทำ   Self  Test   เสร็จหน้าจอจะแสดงแบบนี้

 

จบ   การใช้งานเครื่องวัด LCR TC1  ( รวมถึงเครื่องที่คล้ายกัน วิธีใช้งาน LCR-T4  ESR )



เลือกหัวข้อต่อไปนี้    เพื่อ   อ่านต่อ    
เช่น   การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์   มี   17  ตอน

อ่านต่อ  อีก  25 เรื่อง  เลื่อนหน้า >  ด้านล่างสุดของมือถือ หรือเลือกเรื่องจากแถบด้านข้าง